'ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป' เปิดวิสัยทัศน์ด้านการเงินสำหรับธุรกิจโรงแรม ในงาน SEAHIS 2023

'ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป' เปิดวิสัยทัศน์ด้านการเงินสำหรับธุรกิจโรงแรม ในงาน SEAHIS 2023

"ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป" ร่วมเปิดวิสัยทัศน์เชิงลึกด้านการเงินและการธนาคารสำหรับธุรกิจโรงแรม ในงาน SEAHIS 2023 (South East Asia Hotel Investors’ Summit)

ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป นำโดย วุฒิเวช เวชชบุษกร รองประธานอาวุโสและหัวหน้ากลุ่มการเงิน ได้รับเชิญให้เป็นหนึ่งในวิทยากรที่งาน South East Asia Hotel Investors’ Summit 2023 หรือ SEAHIS 2023 ซึ่งเป็นการประชุมสัมมนาระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จัดโดย องค์กรพันธมิตรของกลุ่มนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกอย่าง HOFTEL มีสมาชิกเป็นผู้บริหารระดับสูง นักลงทุน เจ้าของโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ อาทิ บริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงอุตสาหกรรมโรงแรมอย่าง Blackstone และ City Development Limited (CDL)

วุฒิเวช เวชชบุษกร แสดงทัศนะเรื่อง "ข้อพิจารณาการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินในภาคอุตสาหกรรมการโรงแรม การระดมทุน และกลยุทธ์การเงินสำหรับเจ้าของโรงแรมและนักลงทุน" โดยกล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการบริการทั่วโลก ต่างเผชิญกับสภาวะที่ยากลำบากจากวิกฤติโควิด แต่สำหรับออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป สามารถจัดการกับสภาพคล่องได้อย่างทันท่วงที รวมถึงยังได้คิดกลยุทธ์ในการบริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงให้สอดรับกับแผนการเติบโตของบริษัทฯ ทำให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตการณ์โดยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และจากการสั่งสมชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมการบริการมากกว่า 50 ปี ประกอบกับการที่บริษัทฯ อยู่ภายในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศมาเกือบ 7 ทศวรรษ ทำให้มีความน่าเชื่อถือต่อสถาบันการเงินในไทย

\'ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป\' เปิดวิสัยทัศน์ด้านการเงินสำหรับธุรกิจโรงแรม ในงาน SEAHIS 2023

"สถาบันการเงินในไทยส่วนใหญ่ ยังคงพิจารณา ปล่อยสินเชื่อ จากข้อมูลรายรับทางการเงินและสินทรัพย์ที่ใช้ในการค้ำประกัน เช่น ที่ดิน อาคาร หรือการค้ำประกันของผู้ถือหุ้น โดยในช่วงหลังโควิด สถาบันการเงินได้ให้ความสำคัญมากขึ้นกับศักยภาพของโครงการและทำเล โดยอัตราส่วนการให้สินเชื่อเมื่อเทียบกับมูลค่าหลักประกันแล้วจะอยู่ที่ 60% ถึง 70% ส่วนอีกหนึ่งสิ่งที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญคือ ชื่อเสียงของแบรนด์โรงแรม โดยสถาบันการเงินยังคงพิจารณาการปล่อยสินเชื่อจากข้อมูลย้อนหลังในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เหนือกว่าของโรงแรมที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักและยอมรับ"

วุฒิเวช กล่าวต่อไปถึงปัญหาที่พบบ่อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นถึงปัญหาที่มาจากตารางผ่อนชำระหนี้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นการกู้ยืมในระยะยาว (Project Finance) มีระยะเวลาผ่อนชำระคืน 7-10 ปี และการกู้ยืมทั่วไปมักต้องมีการชำระคืนเงินต้นทั้งจำนวนตลอดช่วงเวลาสัญญาเงินกู้หรือเมื่อครบอายุเงินกู้ (Bullet Repayment) แต่บางโครงการที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารได้เพิ่มเติมวิธีการ Cash Sweep เป็นการกระจายรายได้จากโครงการของโรงแรมที่เกินเป้า ให้แก่ธนาคารในรูปแบบการแบ่งเปอร์เซ็นต์ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการโรงแรมในการคืนเงินต้นและส่งผลดีต่อการพิจารณาการกู้ยืมจากธนาคาร 

"ปัจจุบันเกิดการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์เพิ่มมากขึ้นตามแนวโน้มอุปสงค์ที่เกิดขึ้นในตลาด สิ่งนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึง Positive Demand จากนักลงทุนที่มีความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่องในการหาบริษัทรับบริหารจัดการโรงแรมมืออาชีพ แทนที่ของการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างมาเพื่อขายไปเพียงอย่างเดียวดังเช่นในที่ผ่านมา ซึ่งแนวโน้มหลังจากนี้เราจะได้เห็นโครงการที่ร่วมทุนกับนักลงทุนจากต่างชาติมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และภูเก็ต ซึ่งมีสัญญาณบวกที่ดีต่อบรรยากาศการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนในอนาคตอันใกล้เมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีเสถียรภาพมากขึ้น รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่เอื้ออำนวยให้เกิดการ ขอสินเชื่อ ซึ่งเราคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในช่วงกลางปี 2567การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะกลับสู่สภาวะปกติ อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวต้องเกิดควบคู่ไปการฟื้นตัวของการคมนาคมทางอากาศที่จะต้องดีขึ้นในระดับเกิน 80% ของช่วงก่อนโควิดด้วย" 

นายวุฒิเวช กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบัน ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ได้บริหารจัดการธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ใน 7 ประเทศ รวมทั้งสิ้น 44 แห่ง และกำลังขยายสู่ 54 แห่ง ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยถือครองเป็นเจ้าของสินทรัพย์เองถึง 18% 

"วันนี้เรามีเป้าหมายในการเดินหน้าสู่การเป็น The best medium-sized hospitality management company in Southeast Asia ที่พร้อมจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพร้อมแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลก ซึ่งเรามีความเข้าใจแก่นแท้ของการบริการแบบไทยและเอเชียร่วมสมัยอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีมาตรฐานของแบรนด์ต่างๆ ครอบคลุมในทุกตลาด โดยนำเอาประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญและความเป็นผู้รู้จริงของตลาดในภูมิภาคนี้ มาสร้างสรรค์เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุนและสร้างผลประโยชน์พร้อมการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยในเดือนสิงหาคม 2566 เราจะเปิดตัวอมารี รายา มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นบูทีค ลักชัวรี ที่มีมูลค่าโครงการสูงถึง 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นโครงการที่ใช้เม็ดเงินลงทุนสูงสุดในปีนี้บนคาบมหาสมุทรอินเดีย" วุฒิเวช กล่าวทิ้งท้าย