เปิดค่าตัว 'หมอนวดไทย' แพงสุด! ไหลไป ตปท. 'ตะวันออกกลาง' จ่าย 1.6 แสนบาท/เดือน
'หมอนวดไทย' ค่าตัวแพงสุด! คนเก่งโกอินเตอร์ ไหลไปทำงานต่างประเทศ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว “ตะวันออกกลาง” บอกจ่ายไหว ทุ่มซื้อตัว! ยอมเปย์หนัก 1.2-1.6 แสนบาท/เดือน สูงกว่าในไทยถึง 4-5 เท่า สูงสุดแตะ 2 แสนบาท/เดือนก็เห็นมาแล้ว แลกกับทักษะการนวดและบริการสปาขั้นเทพของคนไทย
กฤป โรจนเสถียร ประธานและประธานบริหาร ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ต เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ประสบปัญหา “ขาดแคลนแรงงาน” ในยุคหลังโควิด-19 เนื่องจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบตะวันออกกลาง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย แห่กว้านซื้อตัว “หมอนวด” หรือ “สปา เธอราปิสต์” (Spa Therapist) ชาวไทย ที่เก่งและมีความเชี่ยวชาญสูง ยอมจ่ายค่าจ้างเพิ่มถึง 4-5 เท่า จากระดับฐานค่าจ้าง 3 หมื่นบาทต่อเดือนในไทย สู่ระดับ 1.2-1.6 แสนบาทต่อเดือนในแถบตะวันออกกลาง และสูงสุดเคยเห็นค่าจ้างแตะถึง 2 แสนบาทต่อเดือนก็มีมาแล้ว! ดึงดูดให้หมอนวดชาวไทยไหลไปทำงานต่างประเทศจำนวนมาก
“หมอนวดชาวไทยเป็นชาติที่เขาต้องการมากที่สุด ค่าตัวแพงที่สุด และหายากมากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการท่องเที่ยวแถบตะวันออกกลางเปิดโรงแรมใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศซาอุดีอาระเบียที่กำลังพัฒนาโครงการใหญ่ๆ หลายแห่งเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว”
ชีวาศรมจึงมองว่ารัฐบาลใหม่ของประเทศไทยควรสร้างความร่วมมือกับรัฐบาลในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย อย่างเร่งด่วน ในการพัฒนาหลักสูตรอบรมหมอนวดชาวตะวันออกกลาง เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคท่องเที่ยวของไทยในระยะยาว
ขณะเดียวกันรัฐบาลใหม่ต้องร่วมกับภาคเอกชนของไทย จัดตั้ง “ศูนย์อบรมแรงงานด้านท่องเที่ยว” ทั้งพนักงานโรงแรมทั่วไป รวมถึงลงลึกเฉพาะด้าน เช่น หมอนวด ให้มีจำนวนเพียงพอกับความต้องการ มีคุณภาพ และได้ใบรับรองตามมาตรฐาน เพื่อรองรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งมีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น สังคมสูงวัย เป็นต้น
“เราจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนแรงงานกันภายในกลุ่มอาเซียน (ASEAN) 10 ประเทศ ซึ่งมีจำนวนประชากรรวมกว่า 500-600 ล้านคน มาบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงาน ต้องมองร่วมกันว่าจะทำอย่างไรให้ภูมิภาคนี้มีเศรษฐกิจดีในช่วงขาขึ้นของเศรษฐกิจเอเชีย ซึ่งสวนทางกับเศรษฐกิจของประเทศฝั่งตะวันตกที่อยู่ในช่วงขาลง โดยเฉพาะจีนที่ขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) กำลังจะแซงหน้าสหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้า”
ด้าน ชีวาศรม หลังได้ร่วมมือกับบริษัท Msheireb Properties ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศกาตาร์ เปิดให้บริการ “ซูลาล เวลเนส รีสอร์ต โดยชีวาศรม” เมื่อปี 2565 มีขนาดใหญ่กว่า “ชีวาศรม หัวหิน” ถึง 10 เท่า หลังเซ็นสัญญากันเมื่อปี 2560 มุ่งจับนักท่องเที่ยวกลุ่มกระเป๋าหนัก กำลังซื้อสูง ทั้งในตะวันออกกลาง ยุโรป และแอฟริกา โดยลูกค้าหลักเป็นชาวกาตาร์
ผลการตอบรับถือว่าดี เนื่องจากไลฟ์สไตล์การกินอยู่ของชาวตะวันออกกลาง เช่น นิยมทานมื้อค่ำหลัง 21.00 น. เสี่ยงต่อการเกิดโรคในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคหัวใจเป็นปัญหาหนักของประชากรในตะวันออกกลางอย่างมาก ทางชีวาศรมจึงอยากเข้าไปมีบทบาทในการปรับไลฟ์สไตล์ดังกล่าวเพื่อสุขภาวะที่ดีซึ่งมีผลต่อการพัฒนาประเทศ
กฤป กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ทางชีวาศรมต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย เพื่อพัฒนา “หลักสูตรสุขภาวะ” ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล เพื่อสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีแก่คนไทย ให้รู้จักวิธีบริหารความเครียดและการดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยเด็ก สามารถรับมือกับเรื่องต่างๆ ในแต่ละช่วงวัย เพราะยิ่งโตก็ยิ่งต้องแบกรับภาระต่างๆ มากขึ้น
กรด โรจนเสถียร ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ต กล่าวเสริมถึงประเด็นขาดแคลนหมอนวดในประเทศไทยว่า ปัจจุบันยังติดขัดข้อกฎหมายเรื่องหมอนวดเป็น “อาชีพสงวน” ของคนไทย ทำให้ไม่สามารถเปิดรับชาวต่างชาติมาประกอบอาชีพนี้ได้ โดยปัจจุบันมีแรงงานขึ้นทะเบียนเป็นหมอนวดประมาณ 200,000 คนในไทย จากสถานประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการนวดและสปากว่า 10,000 แห่ง จึงขอเสนอให้แก้กฎหมายเปิดรับชาวต่างชาติมาทำอาชีพหมอนวดได้ นำร่องในภาวะขาดแคลนไปก่อน ด้านหลักสูตรการเรียนการสอนหมอนวดที่ยังเป็นภาษาไทยนั้น ก็ขอเสนอให้เพิ่มภาษากลาง เช่น ภาษาอังกฤษ รองรับชาวต่างชาติที่สนใจเรียน เพื่อผลักดันประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางการเรียนการสอนด้านสุขภาพ” ในอนาคต
“ที่ผ่านมามีการพัฒนาเรื่องคุณวุฒิวิชาชีพการท่องเที่ยวมาเป็น 10 ปี เพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนปี 2558 แต่สิ่งดีๆ กลับหยุดไป ทั้งที่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานได้”
