“อรรถพล”เร่งแผนธุรกิจใหม่ ดัน ปตท.แข่งขันเวทีระดับโลก

“อรรถพล”เร่งแผนธุรกิจใหม่  ดัน ปตท.แข่งขันเวทีระดับโลก

ปตท.กางแผน ดันธุรกิจใหม่เพิ่มกำไร สร้างกำไรเพิ่มอีก 30% ภายในปี 2030 ขยับเป้าธุรกิจพลังงานทดแทน 1.2 หมื่นเมกะวัตต์ เดินหน้าซัพพายเชน EV รุกธุรกิจบียอนด์เอนเนอร์ยี่

ปตท.บริษัทพลังงานรายใหญ่ของไทยที่กำลังทรานส์ฟอร์มสู่ธุรกิจใหม่ที่มุ่งสู่ธุรกิจสีเขียวและพลังงานไฟฟ้า โดยขยับเป้าหมายพลังงานทดแทนให้สูงถึง 12,000 เมกะวัตต์ พร้อมทั้งศึกษาพลังงานใหม่ เช่น ไฮโดรเจน รวมถึงเข้าสู่ธุรกิจแพลตฟอร์มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจวิทยาศาสตร์และสุขภาพ ซึ่งได้มีการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทยาต่างประเทศ โดยตั้งงบประมาณลงทุนใน 5 ปี 40,000 ล้านบาท

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานในปี ค.ศ.2030 หรือปี พ.ศ.2573 บริษัทในกลุ่ม ปตท.จะสามารถสร้างกำไรเพิ่มขึ้นได้อีก 30% จากธุรกิจใหม่ที่มุ่งไปในทิศทางที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาพลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ

ทั้งนี้ในรอบ 6 เดือนของปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทในเครือ ปตท.มีกำไรจากการดำเนินงานธุรกิจประมาณ 64,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13% โดยมียอดขายทั้งสิ้น 1.68 ล้านล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนกำไรจากยอดขายประมาณ 4% ทั้งนี้เป้าหมายที่จะมีกำไรเพิ่มขึ้นอีก 30% ภายในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นจากกำไรในส่วนที่ทำได้อยู่ในปัจจุบัน

จากข้อตกลงและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซด์ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 (Cop26) มีผลทำให้ทิศทางการผลิตพลังงานของโลกจะเน้นไปที่ พลังงานสะอาด หรือ Go green และส่วนที่เป็นพลังงานสำหรับยานยนต์จะเป็นการใช้ พลังงานไฟฟ้า หรือ Go Eclectic คือ การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้นแทนการใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม

ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ทิศทางแนวโน้มของการใช้พลังงานฟอสซิลทั่วโลกพบว่า แนวโน้มการใช้ถ่านหินได้ผ่านจุดที่มีการใช้สูงสุดไปแล้วแม้ในระยะสั้นหลายประเทศในยุโรปจะกลับมาใช้ถ่านหิน เพื่อทดแทนก๊าซจากรัสเซียแต่มองว่าเป็นภาวะชั่วคราว ส่วนการใช้น้ำมันของโลกคาดว่าจะถึงปีที่มีการใช้สูงสุดในช่วงปี 2030-2032 จากนั้นก็จะทยอยลดการใช้ลง 

อย่างไรก็ตามแนวโน้มของการใช้ก๊าซธรรมชาติยังมีทิศทางการใช้ที่เพิ่มขึ้นไปจนถึงปี 2040 เนื่องจากก๊าซธรรมชาติถือว่าเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่หลายประเทศหันมาใช้มากขึ้นในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่การใช้เชื้อเพลิงสะอาด

ดังนั้นกลุ่ม ปตท.จึงมุ่งพัฒนาต่อยอดธุรกิจด้วยการแสวงหานวัตกรรมเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแห่งอนาคต และรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่มากกว่าธุรกิจพลังงานแบบเดิมเพื่อช่วยให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ และช่วย ปตท.พร้อมรับการแข่งขันบนเวทีโลกโดยแนวทางจะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ของบริษัท คือ การขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต หรือ “Powering Life with Future Energy and Beyond” ประกอบไปด้วย 2 ธุรกิจหลัง คือ

1.ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต (Future Energy) ประกอบไปด้วย ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และพลังงานทดแทน โดยมีเป้าหมาย เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 12,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2030 ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และซัพพลายเชนของรถ EV ที่ดำเนินการผ่านบริษัทอรุณ พลัส จำกัด 

รวมทั้งธุรกิจการกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) รวมทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้า และพลังงานจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่อยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ

2.ธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่ธุรกิจพลังงาน (Beyond Energy) ได้แก่ ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Life Science) ซึ่งในส่วนนี้ ปตท.มีการลงทุนผ่านบริษัทลูกคือ บริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด ที่ได้มีการดำเนินการลงทุนในธุรกิจยา ธุรกิจอาหารและโภชนการ (Nutrition) และธุรกิจเครื่องมือการแพทย์ โดยในธุรกิจยามีการลงทุนในบริษัทโลตัส ผู้ผลิตยาชั้นนำจากไต้หวันโดยการเข้าไปถือหุ้นกว่า 37% 

ขณะที่ธุรกิจด้าน Nutrition ก็มีการก่อตั้งบริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน (NRPT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Innobic และ Nove Foods เพื่อผลิตอาหารประเภท Plant-based เพื่อจำหน่ายในไทยและในภูมิภาคเอเชีย เป็นต้น

นอกจากนั้นในกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่พลังงาน ปตท.ยังมีการลงทุนต่อเนื่องเกี่ยวข้องกับสินค้ามูลค่าสูง (High Value Business) เช่น การพัฒนา ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI และหุ่นยนต์อัตโนมัติ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ตรงกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และเป็นอุตสาหกรรมที่จะส่งผลต่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้าง

สำหรับการลงทุนธุรกิจใหม่ของ ปตท.ได้มีการเตรียมเงินลงทุนตามแผนระยะ 5 ปี (2565- 2569) โดย ปตท.จะใช้เงินลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วไม่น้อยกว่า 30% ของงบลงทุนทั้งหมดที่บริษัทได้ตั้งไว้รวม 1.46 แสนล้านบาท หรือประมาณ 43,8000 ล้านบาท

นอกจากนี้หากมีโครงการที่น่าสนใจ ปตท.พร้อมที่จะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม หรือใส่เงินลงทุนในโครงการที่มีการลงทุนไปแล้วมากขึ้น โดยมีวงเงินอีกส่วนหนึ่งที่คณะกรรมการบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติไว้อีกประมาณ 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ที่สามารถนำไปใช้ลงทุนได้ เพื่อสนับสนุนให้การเติบโตของ ปตท.ไปสู่เป้าหมายของการมีรายได้เพิ่มจากธุรกิจใหม่อีก 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้

“ปตท.ได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ของบริษัทใหม่ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมาจากบริษัทพลังงานไทยชั้นนำข้ามชาติ สู่การเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต” 

ทั้งนี้ โดยแผนงานการลงทุนของ ปตท.ที่วางไว้ในการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ให้เพิ่มขึ้น 30% นั้นเป็นแผนที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ถือเป็น Rolling plan เหมือนกับที่ได้มีการปรับแผนการลงทุนในส่วนของพลังงานทดแทนที่เดิมที่เริ่มมีการลงทุน 533 เมกะวัตต์ในปี 2020 และเพิ่มเป้าหมายเป็น 2655 เมกะวัตต์ ในปี 2023 และปัจจุบันมีเป้าหมายว่าจะมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้ได้ 12,000 เมกะวัตต์ได้ภายในปี 2030 ให้ได้