“มอร์นิ่งสตาร์” ชี้แนวโน้มเงินไหลออก “กองทุน”

“มอร์นิ่งสตาร์” ชี้แนวโน้มเงินไหลออก “กองทุน”

"มอร์นิ่งสตาร์" คาดทิศทางปีนี้เม็ดเงินยังไหลออก "กองทุนไทย" หากเงินเฟ้อพุ่ง-เฟดขึ้นดบ. ฉุดมูลค่าตลาดหุ้นปรับตัวลง ยังไร้ปัจจัยตื่นเต้น บอนด์ยิลด์สูงอาจมีแรงขายกองทุนตราสารหนี้ จากไตรมาส 1 ปีนี้ เงินไหลออกสุทธิ 8.7 หมื่นล้าน และ AUM 4.1 ล้านล้าน ลดลงจากสิ้นปีก่อน 4.2%

นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยในช่วงที่เหลือปีนี้ คาดว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีเงินไหลออกจากกองทุน เนื่องจากทั้งปีนี้ยังมีปัจจัยกดดัน

หากเงินเฟ้อยังพุ่งในระดับสูงทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)จะปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้ง ส่งผลต่อราคาหุ้นปรับตัวลง มีโอกาสที่มูลค่าการลงทุนหดตัวลง 

 

และด้านบอนด์ยิลด์สหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อกองทุนตราสารหนี้ ยังมีแรงขายมากขึ้น ประกอบกับในไทยยังมีการระบาดของโอมิครอนหลังสงกรานต์และสถานการณ์สงครามระกว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังยืดเยื้อเป็น ปัจจัยกดดันการลงทุนรวมถึงหุ้นไทยและต้องรอติดตามความชัดเจน  

หลังจากในช่วงไตรมาส 1  ปี2565  กองทุนรวมไทย (เฉพาะกองทุนเปิด ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund) มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 4.1 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่หดตัวลง 4.2% จากสิ้นปี 2564  โดยเป็นการหดตัวลงในทุกประเภทกองทุน ยกเว้นกองทุนตราสารตลาดเงิน ในช่วงไตรมาสแรกมีเงินไหลออกสุทธิรวม 8.7 หมื่นล้านบาท 

โดยในช่วงไตรมาสแรกปีนี้  การลงทุนยังต้องเผชิญกับหลายปัจจัยผันผวน ทั้งสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่แม้ว่าโดยรวมทั่วโลกจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ยังถือว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นโดยเห็นได้จากการระบาดในประเทศจีนที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงช่วงเวลาหนึ่ง 

ด้านสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่ยุติ ได้ส่งผลต่อราคาพลังงานทั่วโลก ทำให้กองทุนน้ำมันมีผลตอบแทนสูงสุดในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังพุ่งสูง ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับดอกเบี้ยหลายครั้งเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อ ด้าน บอนด์ยิลด์ สหรัฐฯ ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนมี.ค. ทำให้มีแรงขายกองทุนรวมตราสารหนี้มากขึ้น

สำหรับประเทศไทยแม้ว่ายังมีการระบาดของโอมิครอนที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันคงอยู่ระดับมากกว่า 2 หมื่นคนตั้งแต่ปลายเดือนก.พ.เป็นต้นมาและยังไม่มีแนวโน้มลดลง แต่ในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ายังไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศมากนัก โดยดัชนี SET Index ปิดที่ 1,695.24 จุด SET TR รอบ 3 เดือนอยู่ที่ 3.2%

นางสาวชญานี กล่าวว่า  กองทุนหุ้นไทย (ไม่รวม LTF RMF SSF) โดยรวมยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี2564 เล็กน้อย และยังไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก เห็นได้จากเงินไหลออกสุทธิต่อเนื่องในไตรมาส 1 ปี 2565 มูลค่ารวม 3.9 พันล้านบาท โดยเป็นเงินไหลออกจากกองทุนหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก 

 ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ปี 2565 มีกองทุนเปิดใหม่ 2 กองทุนคือกองทุน Bualuang Small Mid Equity จากบลจ.บัวหลวง และกองทุน KKP Thai Quality Growth Equity จากบลจ.เกียรตินาคินภัทรโดยล่าสุดมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 285 และ 53 ล้านบาทตามลำดับ   

 “ แม้ว่าช่วงนี้ยังไม่มีอะไรทำให้หุ้นไทยน่าตื่นเต้น ทำให้น่าจะเห็นเงินลงทุนหุ้นต่างประเทศมากกว่า เพราะธุรกิจมีความหลายหลายมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นไทยไม่น่าสนใจ และนักลงทุนยังต้องจัดพอร์ตกระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ลดความเสี่ยงตลาดผันผวนในปีนี้ แนะว่า หุ้นไทยยังต้องเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตลงทุนอยู่”