“อาคม” ส่งสัญญาณปีนี้ธุรกิจอสังหาฯ ฟื้น

“อาคม” ส่งสัญญาณปีนี้ธุรกิจอสังหาฯ ฟื้น

“อาคม” ชี้ปีนี้อสังหาฯ เริ่มฟื้นตัวรับภาพรวมเศรษฐกิจ สะท้อนจากยอด ขออนุญาตการจัดสรรที่ดิน และการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น คาดการลงทุนใหม่จะเกิดในอีก 3 เดือนข้างหน้า แนะ 3 ทิศทางพัฒนาธุรกิจ พร้อมสั่ง ธอส. ตรึงดอกเบี้ยกู้

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Property Outlook 2022” ในงานสัมมนา Property Focus 2022 : Mega Trend อสังหาฯ รับ New Norm จัดโดย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ โดยระบุว่า ขณะนี้ เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ ที่ชัดเจนมากขึ้น ดูได้จากยอดขออนุญาตการจัดสรรที่ดิน และการก่อสร้างที่จะเริ่มมีมากขึ้นในปี 2565 ขณะที่ ความต้องการที่อยู่อาศัยพบว่า มีความต้องการใกล้เคียงกับซัพพลาย จึงยังไม่เห็นภาวะโอเวอร์ซัพพลายของภาคอสังหาริมทรัพย์ และเห็นว่า ยอดสินเชื่ออสังหาฯ จะโตต่อเนื่องไปถึงปี 2566

เขากล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวหรือไม่นั้น ภาคอสังหาริมทรัพย์จะเป็นตัวนำ ซึ่งมูลค่าของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 4.8% ของจีดีพี แต่หากรวมซัพพลายเชนในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง จะมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วน 7.2% ของจีดีพี และหากรวมไปถึงกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์ตกแต่งบ้านจะคิดเป็นมูลค่ารวมเกือบ 10% ของจีดีพี 

“วันนี้เมื่อเศรษฐกิจฟื้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็จะฟื้นตาม เมื่อไรก็ตามที่ดัชนีชี้วัดว่า มีการขออนุญาตการจัดสรรที่ดินและก่อสร้าง อีก 3 เดือนถัดมา ก็จะมีการลงทุนก่อสร้างตามมา ดังนั้น ภาคอสังหาริมทรัพย์จะเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจตัวหนึ่งว่า เศรษฐกิจจะฟื้นหรือไม่ เพราะเมื่อภาคอสังหาฯ ฟื้น ตัวอื่นก็จะฟื้นตามมา”

อย่างไรก็ตาม จากสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะของสหรัฐ ที่ธนาคารกลางได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุด 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5%และยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกนั้น ก็เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นสูงนั้น ในส่วนของไทยเอง ล่าสุด กนง.ได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า การปล่อยสินเชื่อใหม่ของ ธอส. ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างดี เนื่องจาก ทิศทางดอกเบี้ยที่จะปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้ง ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ลูกค้าระดับรายได้ปานกลางหันมาใช้สินเชื่อของ ธอส. มากขึ้น พร้อมย้ำว่า จากพันธกิจของ ธอส. ที่ต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยของตนเอง จึงมีนโยบายให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุด หรืออย่างน้อยภายในปี 65 นี้

นายอาคม กล่าวถึงมาตรการรัฐในช่วงที่ผ่านมาว่า ได้ออกมาตรการช่วยเหลือภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ พักชำระหนี้ ขณะที่ ด้านผู้ประกอบการได้มีมาตรการของ ธปท. ในโครงการพักทรัพย์พักหนี้ สำหรับผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยว วงเงิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีสถาบันการเงินเข้ามาขอสินเชื่อแล้ว 11 แห่ง มีลูกหนี้รวม 253 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทลงเหลือ 0.01% รวมทั้งขยายโครงการบ้านล้านหลังเฟส 2 ซึ่งขณะนี้มีผู้มาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก แต่ยอดทำนิติกรรมจริงยังไม่เต็มวงเงิน เนื่องจากอาจรอประเมินสถานการณ์ก่อน

ขณะที่ ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง สาเหตุที่รัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการ เนื่องจาก การปรับลดภาษีดังกล่าวในช่วงที่ผ่านถึง 90% นั้นส่งผลกระทบต่อรายได้ท้องถิ่นหายไปประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทบต่องบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น ทั้งถนนหนทาง น้ำเสีย และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ภาคอสังหาฯ มีการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และชลบุรี  ก็มีความจำเป็นในการบริหาร และพัฒนาท้องถิ่น ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ต่ออายุมาตรการดังกล่าว

เขายังแนะนำการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โดยสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ประกอบด้วย 1.การนำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาใช้ในการอำนวยความสะดวกโครงสร้างทั้งหมดภายในบ้าน รวมทั้ง ความเร็ว และเสถียรของระบบอินเทอร์เน็ต ที่ต้องพัฒนาเป็นระบบไฟเบอร์ออฟติก

2.สิ่งแวดล้อม โดยระบบในตัวบ้านจะต้องมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การออกแบบ การกำจัดขยะหรือของเสีย และต้องคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน

3.สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งในการพัฒนาที่อยู่อาศัย จะต้องมีการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ เช่น บันได รวมถึงระบบต่างๆ ในห้องน้ำ และยังเชื่อมโยงไปถึงระบบต่างๆ ภายในบ้าน เป็นต้น

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์