ตอน :: ไทยจะทำให้ Covid เป็นโรคประจำถิ่นกลางปี 2022 ได้หรือไม่!

ตอน :: ไทยจะทำให้ Covid เป็นโรคประจำถิ่นกลางปี 2022 ได้หรือไม่!

หากลองศึกษาและทำความเข้าใจกับโควิดในวันนี้อย่างจริงจัง บริหารจัดการดีๆ ใครเป็นก็กินยา แยกพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่กี่วันก็หาย จบด้วยประโยคนี้ประโยคเดียวกับตอนเริ่มต้น...อันที่จริง Covid ในวันนี้เป็นโรคประจำถิ่นไปแล้ว

Part. 1.อันที่จริง...Covid ในวันนี้เป็นโรคประจำถิ่นไปแล้วนะ!

เพียงแต่แตกต่างจากไข้หวัดใหญ่ต่างๆตรงที่มีอัตราการตายสูงกว่า อัตราการป่วยหนักของผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวหลายอย่าง สูงกว่าผู้ป่วยทั่วไป

คงทราบกันแล้วว่าทางสาธารณสุขของภาครัฐในวันนี้ เริ่มจะแยกแยะผู้ป่วยโควิดที่เสียชีวิต ว่าเสียชีวิตจากโควิดทั้งหมดหรือไม่? โดยผลเบื้องต้นออกมาว่า 10-30% ของผู้ป่วยที่เสียชีวิต ไม่ได้เสียชีวิตจากโควิด แต่เสียชีวิตจากโรคประจำตัวต่างๆของแต่ละคน

Part. 2. Covid ในวันนี้ ถึงจะอันตรายแต่ไม่ร้ายแรงเท่าช่วงแรกๆ!?

ยังติดง่าย แต่ก็หายง่ายเช่นกัน ยกเว้นกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้มีโรคประจำตัวหลายโรค บางส่วนที่อาจจะป่วยหนัก แต่ไม่อันตรายเท่าตอนระบาดใหม่ๆ (อย่าตกใจกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันมากเกินไป) เพราะสายพันธ์โอมิคอน พร้อมปรับตัวเป็นโรคประจำถิ่นอยู่แล้ว แต่อาจมีคน“บางกลุ่ม”ยังไม่อยากให้เป็นโรคประจำถิ่น เพราะยังคงกลัว ระแวง และบางส่วนยังคงหากินกับโควิดอยู่

คำถามคือ... จะทำยังไง จะสื่อสารอย่างไร ให้คนทั้งประเทศ และ สื่อ เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน!?

Part. 3. สิ่งที่ภาครัฐต้อง “สื่อสารให้คนเข้าใจ!”

หนึ่งในจุดอ่อนและปัญหาของภาครัฐและรัฐบาลชุดนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือเรื่อง “การสื่อสาร!” เริ่มตั้งแต่ตัวผู้นำคือนายกเลย เนื่องจากลักษณะบุคลิก นิสัยที่เป็นคนไม่ยอมคน ประกอบกับรับราชการทหารมาทั้งชีวิต แล้วมาเป็นนายกโดยการรัฐประหาร อยู่ยาวมาจนถึงวันนี้

ถึงแม้ในวันนี้ การสื่อสารของนายกดีขึ้นกว่าปีแรกๆที่ออกไปทาง ห้าว ดุดัน แต่จนถึงวันนี้ การสื่อสารในฐานะผู้นำประเทศก็ยังไม่ดีพอ ลองสังเกตุนายกดูสิครับ เวลาไปกล่าวเปิดงานอะไร เนื้อหาที่พูดแทบไม่เกี่ยวกับงานเลย ลุงจะหนักไปทางบ่น ประชด ตัดพ้อ แล้วก็จบแบบดื้อๆ แทบทุกครั้ง!

เวลาให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ลุงก็ยังคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ยิ่งเข้าทางนักข่าวบางส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ปัญหาใหญ่ของรัฐบาลชุดนี้และภาครัฐ มักจะสื่อสารแบบคลุมเครือ กั๊กๆ ไม่ชัดเจน ให้ไปคิดไปทำความเข้าใจ ไปตีความกันเอาเอง จนโดนด่าแทบทุกเรื่อง เหมือนกับจะบริหารจะขับเคลื่อนแต่ละเรื่องได้ดีต้องโดนด่าก่อนถึงจะขยับปรับให้ดีขึ้น! (รัฐบาลและภาครัฐ...ถ้าไม่โดนด่าคงนอนไม่หลับมั๊ง? สุขใจจัง โดนด่าแล้วหลับสบาย!)

Part 4.เริ่มตั้งแต่ “นายกต้องสื่อสารให้ดีกว่าที่เป็นมา!”

ฝากที่ปรึกษา หรือ คนที่เขียนคำแถลงการณ์ หรือโค้ชส่วนตัวของนายกให้เตรียมร่างและซักซ้อมให้ดี

ให้จัดเตรียมให้ นายก แถลงการณ์เป็นเรื่องเป็นราว แต่ไม่เป็นทางการเกินไป สร้างความมั่นใจว่านับจากวันนี้จนถึงต้นเดือน กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ แนวทางที่จะเปลี่ยนโควิด ให้เป็นโรคประจำถิ่น ทางรัฐบาลได้จัดเตรียมความพร้อมอย่างไร มีแผน 1 แผน 2 รองรับอะไรบ้างหากสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง สื่อสารให้ ประชาชนเข้าใจประเด็น ไม่ใช่สื่อสารเพื่อให้คนเข้าอกเข้าใจ เห็นใจในตัวนายกแบบที่สื่อสารด้วยอารมณ์บ้าง ประชดบ้าง ตัดพ้อตลอด 7 ปีที่ผ่านมา!

ถ้าท่านนายก คิดและทำในสิ่งที่ถูกต้อง กล้าและเด็ดขาดกว่านี้ในทุกเรื่อง จะได้ใจคนไทยมากกว่านี้นะครับ! ไหนๆ ได้เป็นผู้นำประเทศแล้ว ก็เป็นให้ผู้คนจดจำท่านในฐานะคนที่เปลี่ยนประเทศไปในทางที่ดีขึ้นในหลายๆเรื่อง จะเป็นพระคุณอย่างสูงสำหรับคนไทยครับ!

Part 5. รัฐมนตรีและสาธารณสุข

ก็ต้องสื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน รัฐมนตรีต้องเลิกคิดเลิกพูดคำว่า “โควิดกระจอก”! มีข้อมูลทางการแพทย์ ทางวิชาการทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศอ้างอิง เพื่อสร้างความมั่นใจ ความสบายใจให้กับประชาชน รวมทั้งเตรียมรองรับจำนวนผู้ป่วย ที่ยังมีอัตราสูง (แต่ไม่รุนแรง)ในปัจจุบัน

ถ้าบริหารการสื่อสาร และ บริหารการจัดการได้ดี โดยเฉพาะการใช้ เจอ-จ่าย-จบ กับผู้ติดเชื้อในทุกวันนี้ดราม่าจะไม่เกิดขึ้น (ต้องเข้าใจธรรมชาติ) ของสื่อด้วย ทั้งสื่อแบบเดิม เช่นทีวี กับสื่อแบบใหม่ทางโซเชียล ที่มักจะหา “ดราม่ารายวัน” เช่น ถ้าเจอ คนอยู่ข้างถนนติดเชื้อ แต่ไม่มีที่ไหนรับรักษา ก็จะเป็นเหยื่อดราม่าของสื่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นำไปขยายผลเพื่อโจมตีรัฐบาลได้ตลอด ซึ่งก็เป็นสิทธิเสรีภาพของสื่อที่ทำได้

Part. 6. ภาคธุรกิจ... เลิกกลัวแต่ไม่เลิกประมาทกันได้แล้วครับ!

ลองศึกษาและทำความเข้าใจกับโควิดในวันนี้อย่างจริงจัง บริหารจัดการดีๆ ใครเป็นก็กินยา แยกพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่กี่วันก็หาย (แทบไม่ต่างกับในอดีตที่คนเป็นหวัดแล้วแพร่เชื้อหวัดในที่ทำงานนั่นแหละ)

ถ้ากลัวมาก... ไม่ใช่โควิดที่จะทำให้ธุรกิจปิดฉาก แต่กลัวจนไม่คิดไม่ทำอะไรเลย ในขณะที่คู่แข่ง ไม่กลัวแต่ไม่ประมาท รุกไปข้างหน้า กว่าท่านจะเลิกกลัวคิดจะตามก็ตามไม่ท้นแล้ว!

อย่าลืมว่า ทั้งรัฐบาลและเอกชนยังมีปัญหาให้ต้องรับมือมากกว่าเรื่องโควิด เพราะยังต้องรับมือกับผลกระทบจากศึกนักเลงโตอเมริกากับรัสเซีย (ศึกครั้งนี้ อันที่จริง ไม่ใช่ยูเครน กับรัสเซีย! แต่เป็นอเมริกาที่อยู่เบื้องหลังความพินาศของหลายๆ ชาติ ที่ไทยต้องระวังอเมริกาอย่าเป็นลูกไล่อเมริกามากเกินไปจนทำให้รัสเซียกับจีนพลอยเหม็นขี้หน้าไทยไปด้วย!) ผลกระทบทางลบหลายเรื่องเกิดขึ้นกับทุกๆ คน ยิ่งจบช้า ยิ่งขยายผลสงครามไปอีกหลายๆประเทศที่กำลังเริ่มเกิดขึ้นในวันนี้ ยิ่งลำบากกันถ้วนหน้า!

Part.7. ความเห็นส่วนตัวของผม...

จบด้วยประโยคนี้ประโยคเดียวกับตอนเริ่มต้น

...อันที่จริง Covid ในวันนี้เป็นโรคประจำถิ่นไปแล้วนะครับ!