นายกฯ ถกทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ สั่งเร่งมาตรการรับมือวิกฤติพลังงาน

นายกฯ ถกทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ สั่งเร่งมาตรการรับมือวิกฤติพลังงาน

นายกฯ เรียก รัฐมนตรีพลังงาน-ทีมเศรษฐกิจ ถกตึกไทย ติดตามความคืบหน้าพลังงาน ลดภาระประชาชน "สุพัฒนพงษ์" ย้ำ วางมาตรการไว้รองรับทุกระดับแล้ว

หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยภายหลัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกถกด่วนทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจติดตามสถานการณ์วิกฤตพลังงาน ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ว่า เป็นการหารือเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ ด้านพลังงาน หลังจากคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ดำเนินมาตรการ เพื่อลดภาระ และ บรรเทาผลกระทบของประชาชน 

ทั้งนี้ นายกฯ ได้กำชับให้ทำงานให้เร็วขึ้น พร้อมกลับมารายงานให้ทราบ เนื่องจากสถานการณ์และราคาพลังงานในขณะนี้มีความผันผวนอย่างมาก แต่วันนี้นายกรัฐมนตรียังไม่ได้สั่งให้จับตาเรื่องราคาสินค้าอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า เบื้องต้นรัฐจะปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือน 15 บาท/ถังขนาด 15 กก. หรือขึ้นกก.ละ 1 บาท มาอยู่ที่ 333 บาท/ถัง 15 กก. จากปัจจุบันอยู่ที่ 318 บาท/ถัง 15 กก. และยังคงช่วยเหลือกลุ่มเปราะผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน ที่ 45 บาท/ถัง 15 กก./3 เดือน และยังคงตรึงราคาขายปลีกดีเซลในประเทศไไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตรต่อไป จนกว่าเงินจะหมด เบื้องต้นจากสถานเงินกองทุนจะพยุงได้ถึงเดือนพ.ค. 2565

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ศึกษาแนวทางรับมือวิกฤตราคาพลังงาน หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนยืดเยื้อรุนแรงเกินกว่าที่คาดไว้ ส่ง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นสูงขึ้นผันผวนรุนแรงต่อเนื่อง

นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะปรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2565 ขึ้นตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นเกินกว่าสมมติฐานที่ประมาณการราคาน้ำมันดิบไว้ไม่เกิน 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าเอฟทีที่สะท้อนต้นทุนจริงเพิ่มขึ้นไปเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได 16.71 สตางค์/หน่วย อีกทั้ง ยังมีแนวคิดจะช่วยประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าระดับไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,200 บาทต่อเดือนให้อยู่ในราคาเดิม ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมหางบประมาณว่าจะต้องใช้เท่าไหร่

“พลังงานได้เตรียมมาตรการรองรับวิกฤติ โดยได้ประสานผู้ค้าน้ำมัน เพื่อเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย ให้ปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มเป็น 5% จากเดิม 4% และน้ำมันสำเร็จรูปสำรองเพิ่มเป็น 2% จาก 1% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากผู้ค้าน้ำมัน คาดว่าจะมีข้อสรุปภายใน 1 สัปดาห์ โดยยอมรับว่าการเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันทุก 1% ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศเพิ่มขึ้น 60 สตางค์/ลิตร”

ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะนี้มีสถานะติดลบประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีเงินกู้ 30,000 ล้านบาท เข้ามาช่วงเดือนพ.ค.2565 ซึ่งระหว่างนี้กองทุนยังมีกระแสเงินสดสามารถใช้ดูแลราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ถึงช่วงเดือนพ.ค.2565 ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบ 115 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่มีเงินไหลเข้ากองทุน 2,700-3,000 ล้านบาท/เดือน แต่มีเงินไหลออกประมาณ 30,000 ล้านบาท/เดือน

นอกจากนี้ จะช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางผ่านผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยปัจจุบันผู้ถือบัตรกว่า 13 ล้านราย ที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าซื้อก๊าซที่ 45 บาท ต่อครัวเรือน ต่อ 3 เดือน และจะพิจารณาเพิ่มอีก 55 บาท เป็น 100 บาท ซึ่งกำลังเร่งทำแผนงบประมาณผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และจะพยายามดำเนินการให้ทันเดือน เม.ย.2565

สำหรับมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้า จากที่ได้ประกาศปรับค่าเอฟทีที่ราว 16 สตางค์ต่อหน่วยรอบเดือนม.ค.-เม.ย.2565 และรอบเดือนพ.ค.-ส.ค. 2565 จะปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดในงวดต่อไป ยอมรับว่าจะต้องปรับขึ้นแน่นอน แต่จะพยายามบริหารจัดการไม่ให้ขึ้นสูงมาก โดยกกพ.ได้ทำการบ้าน และพยายามทำให้ยู่ในกรอบเดิม ซึ่งมีแนวคิดจะช่วยประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าระดับไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,200 บาทต่อเดือนให้อยู่ในราคาเดิม ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมหางบประมาณว่าจะต้องใช้เท่าไหร่

สำหรับกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน กระทรวงพลังงานพยายามหารือกับกระทรวงการคลัง โดยจพช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.5 ล้านคน โดยจะโฟกัสกลุ่มผู้ใช้รถจักยานยนต์ ปัจจุบันพบว่าประชาชนที่จดทะเบียนกับกรมขนส่งมีอยู่ 21 ล้านคัน จึงจะต้องดูจำนวนรถกับจำนวนผู้ถือบัตร ยอมรับว่าพยายามให้ออกมาเร็วที่สุด และข้อมูลจะต้องนิ่งจึงขอดูจำนวนก่อน แล้วมาดูงบประมาณให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ 50 ลิตรต่อเดือน