มีโอกาสลุ้นฟื้นตัวระยะสั้นระหว่างรอความคืบหน้าการเจรจา

มีลุ้นฟื้นตัวระยะสั้นหลังรัสเซียประกาศเงื่อนไขหยุดสงคราม โดยมีความต้องการ 3 ข้อ ได้แก่ 1) ยูเครนรักษาความเป็นกลางทางการเมือง 2) รับรองว่าไครเมีย เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และ 3) รับรองความเป็นอิสระของแคว้นทางตะวันออก (บริเวณ Donbas)
ยังเป็นการยากที่จะตอบว่ายูเครนจะยอมรับเงื่อนไขของรัสเซียหรือไม่ แต่หลังจากตลาดปรับลดลงแรงสะท้อนความกังวลต่อผลของการคว่ำบาตรรัสเซียที่มีต่อเศรษบกิจโลกไปพอสมควรแล้ว เราประเมินตลาดมีโอกาสฟื้นตัวระหว่างรอความคืบหน้าการเจรจา อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวระยะกลางของตลาดยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะหากความไม่สงบยืดเยื้อ และมีการเพิ่มระดับมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งจะกระทบต่อมุมมองการเติบโต และความเสี่ยงของการเกิดเศรษฐกิจชะงักงัน (Stagflation) ไปจนเศรษฐกิจถดถอย (Recession
กลุ่มพลังงาน ผลกระทบจากกรณียูเครน-รัสเซีย ราคาพลังงานหลายตัวปรับขึ้นสูง เนื่องจากความกังวลผลของการแบนพลังงานรัสเซีย เนื่องจากยุโรปนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ 27% และ 38% ของที่นำเข้าทั้งหมด ขณะที่รัสเซียส่งออกน้ำมันเตาไปยุโรป 820,000 บาร์เรล/วัน (12% ของ Global demand) ซึ่งการแบนพลังงานรัสเซีย หรือการที่ประเทศต่างๆเลี่ยงการใช้พลังงานจากรัสเซีย (ซึ่งมีการผลิตน้ำมันดิบคิดเป็น 5% ของทั้งโลก) ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว (รวมทั้งการที่ประเทศต่างๆเลี่ยงไปสั่งน้ำมันจากประเทศอื่น) ยังมีโอกาสผลักดันราคาพลังงานทั้งน้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซ // การวิเคราะห์ความไวของกำไร ทุก 10 เหรียญที่ราคาน้ำมันดิบเพิ่ม จะส่งผลบวกมากที่สุดต่อ TOP (กำไรเพิ่มอีก 30%) ขณะที่ PTTEP (กำไรเพิ่มอีก 10%) // หุ้นเด่นในกลุ่มนี้ ปิโตรเคมีเราให้ IVL ส่วนพลังงานเราเพิ่ม TOP เข้ามา สำหรับ PTTEP สำหรับผู้ที่มีอยู่ เรามองยังสามารถถือได้ (let profit run) แต่หากไม่มีหุ้นโรงกลั่นอย่าง TOP อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า
ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มพลังงาน PTTEP, BANPU, TOP 2) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 3) กลุ่มบันเทิง งบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 4) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ WFX, CV, UBE, RAM, IND, MAKRO, CPALL, JAS, BCP, AJ, PTL, PJW, III, TNP 5) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, TU, GFPT, KSL 6) ค่าระวางเรือ PSL, TTA 7) ราคาแป้งสาลี-มันสำปะหลัง TWPC, TMILL, UBE
ภาพรวมกลยุทธ์: อาจเปิดลง แต่มีโอกาสฟื้นตัวจากแนวรับ 1,615-1,620 จุด ที่เป็นบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ซึ่งอาจจะเป็นเพียงการฟื้นระยะสั้นระหว่างรอผลเจรจา ขณะที่การฟื้นระยะกลางยังต้องรอการสงบศึก และการดำเนินงานของธนาคารเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ช่วงสั้นเพียงเก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุนจนกว่าจะเห็นสัญญาณความเสี่ยงที่ลดลง (เช่น เงินเหรียญสหรัฐฯ หยุดแข็งค่า) บาทมีแนวโน้มอ่อนค่าหลังราคาน้ำมันมี่ขึ้นสูง จะทำให้ไทยมีโอกาสขาดดุลการค้า ซึ่งอาจกระทบ Fund flow ระยะสั้น //หุ้นแนะนำ: TOP*, UBE*, AH*
แนวรับ: 1,615-1,620 / แนวต้าน : 1,640 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%
ประเด็นการลงทุน
รัสเซียประกาศรายชื่อประเทศที่ไม่เป็นมิตร - ที่คว่ำบาตรรัสเซีย ได้แก่ สหรัฐ, แคนาดา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร (รวมทั้งดินแดนในอาณัติ ได้แก่ เจอร์ซีย์, แองกวิลลา, หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน และยิบรอลตา), ยูเครน, มอนเตเนโกร, สวิตเซอร์แลนด์, อัลเบเนีย, อันดอร์รา, ไอซ์แลนด์, ลิกเตนสไตน์, โมนาโก, นอร์เวย์, ซาน มาริโน, นอร์ท มาซิโดเนีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, ไมโครนีเซีย, นิวซีแลนด์, สิงคโปร์ และไต้หวัน
FETCO คงเป้า SET ปีนี้ 1,800 จุดแม้ระยะสั้นผันผวนจากศึกยูเครนแต่เชื่อฟื้นเร็ว - ในกรณีที่ราคาพลังงานจะต้องไม่ปรับตัวขึ้นจนไม่มีเพดาน แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน แต่คาดว่าจะมีผลในระยะสั้น เพราะเมื่อย้อนดูเหตุการณ์ Geopolitical Risks หรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งต่อสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกพบว่ามักตะฟื้นตัวได้เร็ว
TTA – มองความต้องการขนส่งปี 65 ขยายตัวต่อ 2.5% ชี้ซัพพลายยังต่ำดันค่าระวางเรือเฉลี่ยปีนี้ที่ระดับ 2.5-3.0 หมื่นดอลลาร์ต่อวันต่อลำ วางงบ 1.5 พันล้านบาท จัดซื้อเรือลำใหม่
Opportunity day –7 มี.ค. ALLY, SFT, MICRO, ORI, TTA, MINT, JMART+SINGER, JMT, J, SYNEX, BJC, MC// 8 มี.ค. KUN, EGCO, ILINK, CNT, BPP, BANPU, SSC, SEAFCO, ITEL, JR, GUNKUL, SMD, SICT, TOP // 9 มี.ค. TPBI, JWD, TACC, HARN, AIT, PLANB, PT, PJW, HUMAN, TNITY, PYLON, CRD, PROSPECT
ประเด็นติดตาม: 8 มี.ค. – EU GDP 4Q21, 9 มี.ค. – Chinese CPI เดือน ก.พ., 10 มี.ค. – US CPI เดือน ก.พ.
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)







