‘มอร์นิ่งสตาร์’ คาดแรงขายLTFเดือนแรกปีนี้ ทะลักหมื่นล้าน

‘มอร์นิ่งสตาร์’ คาดแรงขายLTFเดือนแรกปีนี้ ทะลักหมื่นล้าน

วานนี้ (18 ม.ค.) “หุ้นไทย” ร่วงแรง 16.60 จุด เหตุกังวลเฟดใช้นโยบายตึงตัวเร็วกว่าคาด ทำบอนด์ยิลด์สหรัฐพุ่ง 1.80% “มอร์นิ่งสตาร์”พบสัญญาณเทขายทำกำไร LTFครึ่งเดือนแรกปีนี้ 6 พันล้าน คาดม.ค.นี้ แรงขายแตะ “หมื่นล้าน” เชื่อนักลงทุนหาจังหวะกลับกองทุนต่างประเทศ และ SSF

ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (18 ม.ค.) ปรับตัวลงต่อเนื่องในช่วงบ่ายโดยปิดที่ 1,660.27 จุด ลดลง -16.60 จุด หรือ 0.99% มูลค่าซื้อขาย 113,953.45 ล้านบาท ด้านสถาบันขายสุทธิ 2,629.92 ล้านบาท บัญชีซื้อสุทธิ 3.19 ล้านบาท ต่างประเทศขายสุทธิ 2,957.10 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไป (รายย่อย) ซื้อสุทธิ 5,583.82 ล้านบาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า หุ้นไทยวานนี้ปรัวตัวลงแรงกว่าที่คาดจากนักลงทุนกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้นโยบายตึงตัวเร็วกว่าคาดทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.80% ทำให้นักลงทุนขายหุ้นเพื่อกำไรออกมาหลังหุ้นไทยได้ขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว

 

ทั้งนี้ หุ้นไทยลงแรงกว่าที่คาดมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้วันนี้ (19 ม.ค.) มองแนวรับที่ 1,650 จุด แนวต้านที่1,670-1,680 จุดมองว่าเมื่อดัชนีย่อตัวลงมาเป็นโอกาสเข้าซื้อ เพราะปีนี้มีปัจจัยหนุนทั้งกำไร บจ. เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน และ จีดีพี โต 3.5%

นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งเดือน ม.ค. 2565 พบว่า มีแรงขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ราว 6,000 ล้านบาท ถือว่ามีเงินไหลออกเร็วกว่าเมื่อเทียบเดือนม.ค.ทั้งเดือนในช่วง 2 ปีก่อน มีแรงขายเพียง 1,000-2,000 ล้านบาท

ประเมินว่าทั้งเดือนม.ค.นี้ น่าจะมีแรงขาย LTF แตะ 10,000 ล้านบาท เพราะปีนี้จะมีเม็ดเงินกองทุน LTF ครบกำหนด (ที่ครบ 7 ปีปฏิทิน) ราว 22,000 ล้านบาท

ประเมินทิศทางแรงขายกองทุน LTF ปีนี้ คงเป็นการทยอยออกบางส่วนที่เริ่มมีกำไรจากดัชนีหุ้นไทยยังคงปรับตัวขึ้น หรือ ทรงตัวจากปีก่อน หรือเมื่อ 7 ปีก่อน และเงินที่ขายกองทุน LTF บางส่วนเชื่อยังคงไหลกลับเข้ามาลงทุนในกองทุนประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะกองทุนต่างประเทศ หรือ กองทุนประหยัดภาษี อย่าง กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่มีการลงทุนหลากหลายให้เลือกในและต่างประเทศ และยังช่วยประหยัดภาษี 

หรือแม้แต่กองทุนใหม่ๆ ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะออกในปีนี้มากขึ้น  เช่น กองทุนที่มีการลงทุนเกี่ยวเรื่องกับสินทรัพย์ดิจิทัล และกองทุนเพื่อความยั่งยืนหรือSRI Fund ที่ก.ล.ต.เตรียมออกหลักเกณฑ์มารองรับโดยเฉพาะ 

ดังนั้นแนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนไทยปี 2565 คาดว่า ยังเติบโตต่อเนื่องจากปี 2564 ที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) แตะ 5.4 ล้านล้านบาท เติบโต 6.6%  โดยเป็น AUM เฉพาะกองทุนรวมอยู่ที่ 4.3 ล้านล้านบาท เติบโต 7.7% ถือว่าเป็นการเติบโตกลับมาที่ระดับเดิมก่อนเกิดโควิดแล้ว และส่วนใหญ่เป็นการลงทุนต่างประเทศ AUM อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาทเติบโต37%  โดยมีเงินไหลเข้ากองทุนต่างประเทศกว่า 300,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา 

"แรงขายกองทุน LTF เชื่อว่าไม่กระทบต่อตลาดหุ้นไทยและตลาดกองทุนไทย เพราะปัจจัยเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ทำให้คนยังลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ กลุ่มนักลงทุนกองทุนประหยัดภาษี ยังเป็นกลุ่มมนุษย์เงินเดือน ไม่เน้นลงทุนหุ้นไทย แต่หาจังหวะกลับเข้ามาลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น เช่น เวียดนาม จีน สหรัฐ น่าจะผลตอบแทนดีกว่าหุ้นไทย และหากเก็บภาษีขายหุ้นจะมีประเด็นส่งผลกระทบทางอ้อมต่อกองทุนหุ้นไทย ความน่าสนใจลดลงตามวอลุ่มเทรดในตลาดหุ้นไทนที่ลดลง"