‘เงินบาท’ วันนี้เปิด’แข็งค่า’ที่33.22 บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด’แข็งค่า’ที่33.22 บาทต่อดอลลาร์

“กรุงไทย” ชี้ตลาดการเงินยังผันผวนจากความกังวลเศรษฐกิจเผชิญปัญหาโอมิครอนระบาดในประเทศ จับตากระแสฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ คาดยังไม่รีบออกจากหุ้นวัฏจักรดันดัชนี และแรงเทขายทองทำกำไรหนุนบาทแข็งค่าขึ้นได้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ 33.15-33.30บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(17ม.ค.)  ที่ระดับ  33.22 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.24 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์และกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.15-33.30 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways โดยต้องจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางเงินบาทในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญปัญหาการระบาดของโอมิครอน อนึ่ง ตลาดหุ้นไทยซึ่งมีสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Cyclical เป็นส่วนใหญ่ อาจยังได้แรงหนุนอยู่ในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติจะไม่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยรุนแรง 

 

ทั้งนี้ หากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,820-1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญ ก็อาจมีผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำ ซึ่งโฟลว์ขายทำกำไรทองคำจะสามารถช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้างอย่างไรก็ดี แนวรับสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในโซน 33.10 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้นำเข้าต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ส่วนแนวต้านสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33.40 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่

ส่วนเงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หากตลาดการเงินยังคงผันผวน ซึ่งจะหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) แต่เราคงมองว่า เงินดอลลาร์จะไม่ปรับตัวขึ้นไปมาก เพราะตลาดเริ่มคลายกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (เพราะตลาดรับรู้การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปแล้วพอสมควร) และตลาดอาจทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ ซึ่งจะลดความน่าสนใจของเงินดอลลาร์ลง

 

อย่างไรก็ตาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินยังคงผันผวนจากความกังวลเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้เร็ว

สำหรับสัปดาห์นี้ ติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยผลประกอบการที่ขยายตัวต่อเนื่องและดีกว่าคาดอาจช่วยหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะให้ความสนใจรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มการเงิน อาทิGoldman Sachs, Morgan Stanley และ Bank of America โดยผลประกอบการที่ดีกว่าคาดจะยิ่งช่วยหนุนให้ หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น นอกเหนือจากแรงหนุนจากการเปลี่ยนกลุ่มหุ้นลงทุนของบรรดาผู้เล่นในตลาดที่หันมาลงทุน หุ้นกลุ่ม Cyclical และหุ้น Value มากกว่า หุ้น Tech. และหุ้น Growth หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องและออกมาดีกว่าคาดจะสามารถช่วยให้ผู้เล่นในตลาดทยอยกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้

 

ฝั่งยุโรป – การระบาดของโอมิครอนในเยอรมันที่เริ่มเข้าใกล้จุดเลวร้ายสุด อาจสร้างความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจหากสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (ZEW Economic Sentiment) ในเดือนมกราคม ที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 31 จุด จากระดับ 29.9 ในเดือนก่อนหน้า ส่วนในฝั่งอังกฤษ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์หรือเดือนมีนาคม หากเศรษฐกิจโดยเฉพาะ การจ้างงาน ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น หลังสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนในอังกฤษน่าจะผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้ว ทั้งนี้ ตลาดประเมินว่า อัตราการว่างงาน (Unemployment) ในเดือนพฤศจิกายน จะลดลงสู่ระดับ 4.1% นอกจากนี้ หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ยังมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของ BOE ซึ่งตลาดคาดว่า CPI เดือนธันวาคมจะปรับตัวขึ้นแตะ 5.2%

 

ฝั่งเอเชีย – ตลาดประเมินว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจนในไตรมาสที่ 4 จากปัญหาหนี้ในภาคอสังหาฯปัญหาขาดแคลนพลังงาน รวมถึงปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในช่วงปลายปี ทำให้เศรษฐกิจอาจขยายตัวเพียง+3.6%y/y ในไตรมาสที่ 4 นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีนจะยิ่งสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยในเดือนธันวาคม ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะโต +3.7%y/y ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกันกับ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets Investment) ที่จะขยายตัวในอัตราชะลอลงเหลือ +3.8%y/y และ +4.8%y/y ทั้งนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะเพิ่มโอกาสการผ่อนคลายนโยบายการเงินหรือการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากทางการจีน ซึ่งตลาดมองว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) จะคงอัตราดอกเบี้ยลูกหนี้ชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี ไว้ที่ระดับ 3.80% (หลังจากปรับลดลง5bps ในเดือนธันวาคม) ส่วน LPR ประเภท 5 ปี ยังคงไว้ที่ 4.65% ตามเดิม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น เรามองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเพื่อหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% และคงเป้าบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไว้ที่ระดับ 0.00% ซึ่งต้องจับตาท่าทีของ BOJ ต่อการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ล่าสุด เพราะหาก BOJ กังวลต่อประเด็นดังกล่าว อาจสะท้อนว่า BOJ พร้อมเพิ่มการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกดดันให้ยีลด์ย่อตัวลง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงได้ นอกเหนือจาก BOJ ที่จะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อนั้น ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) รวมถึง ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ต่างก็มีความจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% และ 3.50% ตามลำดับไว้ก่อนจนกว่าเศรษฐกิจจะส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ทั้ง BNM และ BI อาจมองว่าเงินเฟ้อยังไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขด้วยการทยอยขึ้นดอกเบี้ยแบบธนาคารกลางอื่นๆ 

 

ฝั่งไทย – เรามองว่าการส่งออกของไทยในเดือนธันวาคมอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการระบาดโอมิครอนทั่วโลกบ้าง แต่ทว่า ยอดการส่งออกจะสามารถขยายตัวกว่า +17%y/y ส่วนยอดการนำเข้าอาจโตได้ราว +20%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) อาจเกินดุลเล็กน้อย +550 ล้านดอลลาร์