สสว. เผยดัชนีเชื่อมั่นเอสเอ็มอี พ.ย. 64 แตะนิวไฮหลังระบาดล่าสุด

สสว. เผยดัชนีเชื่อมั่นเอสเอ็มอี พ.ย. 64 แตะนิวไฮหลังระบาดล่าสุด

สสว. เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือนพ.ย. 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และค่าดัชนีฯ เกินระดับค่าฐาน (50) เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดการระบาดระลอกล่าสุด

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SME Sentiment Index: SMESI) ประจำเดือนพ.ย. 2564 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 อยู่ที่ระดับ 50.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินระดับค่าฐาน (50) เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 เดือนเม.ย. 2564

มีการเพิ่มขึ้นมาจากเกือบทุกองค์ประกอบของดัชนี และปรับตัวดีขึ้นในทุกสาขาธุรกิจ โดยเฉพาะภาคบริการ เป็นผลจากการผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐในเรื่องข้อจำกัดการเดินทาง และผ่อนปรนอนุญาตการดำเนินธุรกิจได้มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ส่งเสริมธุรกิจรายย่อย 

ส่วนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว 

 

ด้านองค์ประกอบของดัชนีด้านคำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ การลงทุน กำไร และการจ้างงาน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.7, 53.0, 52.5, 52.6 และ 50.5 ตามลำดับ แต่ยังคงมีประเด็นที่น่ากังวลในด้านองค์ประกอบด้านต้นทุนที่มีความเชื่อมั่นลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ค่าดัชนีลดลงอยู่ที่ระดับ 38.5 โดยเฉพาะต้นทุนค่าวัตถุดิบและสินค้า ค่าน้ำมัน และการขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นและดัชนี SMESI ภาคการผลิต ภาคการค้า 

ภาคการบริการ และธุรกิจการเกษตร ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นทั้งหมดมาอยู่ที่ระดับ 49.4, 49.5, 51.1 และ 57.2 ตามลำดับ โดยเฉพาะภาคการบริการ ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ สาขาบริการการท่องเที่ยว การขนส่งมวลชน 
(ไม่ประจำทาง) บริการเสริมความงาม/สปา/นวดเพื่อสุขภาพ ร้านอาหาร บริการสันทนาการ/วัฒรรม/กีฬา และโรงแรม/ที่พัก

 

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาค ได้แก่ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ที่ 52.1 เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสาขาต่างๆ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการดำเนินการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจควบคู่กับการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันโรคในพื้นที่แบบบูรณาการของเขตพื้นที่ กทม.

นอกจากนี้จากมาตรการเปิดประเทศและเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว ส่งผลทำให้ภาคการบริการ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด เมื่อเทียบกับภาคธุรกิจอื่นๆ อาทิ บริการท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร 

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคกลาง ปัจจุบันอยู่ที่ 48.4 จากภาพรวมธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะภาคการบริการ และภาคการค้า จากการที่ประชาชนคลายความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาด และมีการออกมาทำกิจกรรนอกบ้านของคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก

รวมถึงความต้องการเดินทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ส่งผลดีต่อคำสั่งซื้อในธุรกิจร้านอาหาร บริการรถรับเหมา และหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออก ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 48.3 ธุรกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้นจากการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรค โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร บริการ การท่องเที่ยว และสันทนาการ วัฒนธรรม กีฬา

อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ รวมไปถึงการแข่งขันด้านราคาและการทำโปรโมชั่นของธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรม ที่พักขนาดเล็กโดยรวมปรับตัวลดลงเล็กน้อย

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคเหนือ ปัจจุบันอยู่ที่ 50.3 เป็นผลมาจากประชาชนในพื้นที่ออกมาทำกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประกอบกับประเพณีการทอดกฐินและเทศกาลลอยกระทง ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มสูงขึ้นจากนักท่องเที่ยวในพื้นที่และต่างจังหวัดโดยเฉพาะหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค บริการรถรับเหมา ร้านขายของฝาก/ของที่ระลึก ร้านอาหาร โรงแรมและที่พัก

แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อในกลุ่มการจัดทัวร์ หรือไกด์นำเที่ยว ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อยู่ในระดับที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริการรถรับเหมา

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคใต้ ปัจจุบันอยู่ที่ 46.4 การขยายตัวมาจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ และการเปิดประเทศ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในภูมิภาคเป็นจุดหมายปลายทางของเหล่านักท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการรถรับเหมา ร้านอาหาร และบริการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตามหลายพื้นที่ในภาคใต้ประสบปัญหาฝนตกหนัก ลมมรสุม  และน้ำท่วม โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาและนครศรีธรรมราช ส่งผลทางลบกับบางธุรกิจ เช่น หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค บริการก่อสร้าง และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 53.4 จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการคนละครึ่งเฟส 3 และการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคระบาด ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะร้านอาหาร และการให้บริการเสริมความงาม/สปา/นวดเพื่อสุขภาพ รวมไปถึงความต้องการสินค้าอุปโภคและบริโภคปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนในภาคการเกษตรปรับตัวลดลงเล็กน้อย ตามฤดูกาลของการเพาะปลูกสินค้าเกษตร

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 58.1 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 55.0 จากแนวโน้มการขยายตัวของยอดขายสินค้าและการให้บริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศและในประเทศเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลต่อการระบาดระลอกใหม่อย่างมาก รวมไปถึงความกังวลต่อการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุน  โดยเฉพาะค่าวัตถุดิบและสินค้า ค่าน้ำมันและการขนส่ง 

ส่วน 5 ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อกิจการ SME ประเทศในเดือนนี้ 
ปัจจัยที่ส่งผลดี ได้แก่ ด้านการได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน/ภาครัฐ ด้านเทคโนโลยี/ดิจิทัล/นวัตกรรม ด้านมาตรฐานการผลิต/ความปลอดภัย/สุขอนามัยด้านข้อมูลสนับสนุนจากภาครัฐ และด้านผู้บริโภคและกำลังซื้อ

ปัจจัยที่ส่งผลลบ ได้แก่ ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้านหนี้สินกิจการ ด้านต้นทุนด้านคู่แข่งขัน และด้านผู้บริโภคและกำลังซื้อ