นักศศ.ส่อง เฟดถอนคิวอี หนุนเงินไหลกลับ เข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

นักศศ.ส่อง เฟดถอนคิวอี หนุนเงินไหลกลับ เข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

ธนาคารกลางสหรัฐแถลงยุติซื้อพันธบัตรยุคโควิด มี.ค.65 เปิดทางปีหน้าขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง “ซีไอเอ็มบีไทย“ ชี้ เงินลงทุนพร้อมกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ”ทิสโก้” แนะลุยหุ้นได้ประโยชน์บอนด์ยีลด์สหรัฐขึ้น จับตาค่าเงินแตะ 37 บาท “ทีทีบี”ชี้สัญญาณบาทอ่อนค่า

    คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมล่าสุด ขณะเดียวกันธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเพิ่มการปรับลดวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 โดยการปรับลดวงเงินคิวอีของเฟดจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดยุติการทำคิวอีในเดือน มี.ค.2565

    นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย หรือ CIMBT เปิดเผยว่า ผลประชุมเฟดรอบนี้ไม่เหนือกว่าที่ตลาดคาด ในปัจจุบันสหรัฐอยู่โหมดเงินสภาพคล่องถูกเพิ่มในอัตราที่ลดลง ในขณะที่ดอกเบี้ยจะขึ้นได้เร็วปีหน้า และเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐสั่นคลอน โดยปี 2565 ยังขยายตัวได้ 4%

   ดังนั้นภาวะดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายกังวล สามารถกลับมาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงต่อได้ นอกจากลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรสหรัฐระยะยาว

    ขณะเดียวกันเนื่องจากอัตราพันธบัตรสหรัฐระยะยาวยังไม่เพิ่มขึ้นสูงเมื่อเทียบกับอัตราพันธบัตรระยะสั้นเพิ่มขึ้นเร็ว ซึ่งทำให้ต้นทุนทางการเงินยังไม่สูง และเงินสภาพคล่องในตลาดสหรัฐยังสูง จึงยังเห็นนักลงทุนจะนำเงินไปลงทุนสิทรัพย์เสี่ยงอื่นได้ เช่น หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีอย่างหุ้นสหรัฐและยุโรป รวมถึงหุ้นตลาดเกิดใหม่และหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาช่วงครึ่งหลังปีหน้า

ทีทีบี”ชี้สัญญาณบาทอ่อนค่า

   นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวว่า การถอนคิวอีส่งผลต่อตลาดเงินตลาดทุนสูงมาก เพราะการถอนคิวอีคือการดึงสภาพคล่องออกจากตลาดโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนตลาดเงินตลาดทุน หนุนราคาสินทรัพย์ต่างๆให้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

    อีกทั้ง การถอนสภาพคล่องที่เป็นดอลลาร์ออกจากตลาด รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ โดยเฉพาะหากเฟดลดดอกเบี้ยตามแผน คือ 3 ครั้ง ณ สิ้นปี 2565 ดังนั้นโอกาสเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าหลุดระดับ 35.00 บาทต่อดอลาร์ ไปสู่ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ มีสูงมากโดยเฉพาะปลายปี 2565

    ซึ่ง การขึ้นดอกเบี้ยจะหนุนให้ยิลด์เครป น่าจะวิ่งขึ้นตาม ดังนั้นต้องจับตาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ในขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินของไทยที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พูดชัดว่ายังขึ้นไม่ได้ ดังนั้นหากดอกเบี้ยพันธบัตรเพิ่มขึ้น แต่ดอกเบี้ยของไทยไม่ขึ้นจะทำให้เกิดยิลด์เครปที่ชันขึ้นทำให้ต้นทุนการกู้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการระดมทุนภาคเอกชนในการออกบอนด์ หรือการรีไฟแนนซ์ปีหน้าให้มีต้นทุนสูงขึ้น

    “สิ่งที่ต้องจับตา คือ การถอนคันเร่งของเฟด เป็นการถอนคันเร่ง หรือการเหยียบเบรกกะทันหัน หากถอนคันเร่งไม่ใช่หัวทิ่ม อิมแพคจะไม่เยอะมาก แต่อิมแพคจะอยู่ที่ภาวะเงินเฟ้อมากกว่าที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่หากเงินเฟ้อขึ้นเร็วแรง แล้วเฟดขึ้นดอกเบี้ยไม่ทัน เฟดอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายแบบเบรกหัวทิ่มด้วยการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเยอะและแรง”

ทิสโก้”แนะลุยหุ้นธนาคาร

   นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า หากเฟดใช้นโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปี 2565 ลดคิวอีและขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยอัพไซด์เริ่มจำกัด แต่จะมีกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวขึ้น ได้แก่ กลุ่มธนาคาร รวมถึงกลุ่มประกันที่มีพอร์ตลงทุนพันธบัตรในสัดส่วนที่สูง มีโอกาสทำกำไรจากการลงทุนได้มากขึ้น

   อีกกลุ่มเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า หากเฟดปรับนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มส่งออก

    อีกทั้งแนวโน้มเงินลงทุนยังคงไหลออกไปต่างประเทศต่อเนื่องเช่นเดียวกับในช่วงที่ผ่านมานี้ โดยยังแนะนำหุ้นจีนในกลุ่มเทคโนโลยีและเฮลธ์แคร์ ซึ่งราคายังปรับขึ้นไม่มาก ขณะที่หุ้นยุโรปยังต้องหลีกเลี่ยง จะความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิดสายพันธุ์โอมิครอน และหุ้นสหรัฐ เป็นแหล่งที่ต้องไปลงทุน ที่ราคาเริ่มตึงตัว

เตือนระวังกลุ่มสินทรัพย์ผันผวน

   นอกจากนี้สินทรัพย์ทางเลือกระหว่างทองคำกับสินทรัพย์ดิจิทัล มองว่า สินทรัพย์ดิจิทัลมีความน่าสนใจมากกว่า แต่การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นกับนักลงทุนแต่ละคนว่าจะรับความเสี่ยงสินทรัพย์ดิจิทัลออะไรได้มากน้อยแค่ไหน ตามความเข้าใจและความชื่นชอบส่วนบุคคล แต่ทั้งนี้ต้องระวังปัจจัยด้านราคาที่มีความผันผวนมากกว่าสินทรัพย์ลงทุนประเภทอื่นๆ

    ส่วนทองคำมองว่าเป็นการลงทุนไว้สร้างสมดุลของพอร์ต ควรมีติดพอร์ตสัดส่วนไม่เกิน 5% เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐยังไม่ได้ขึ้นแรงชัดเจน ทำให้ราคาทองคำยังน่าจะยืนในกรอบ 1,750-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากเงินเฟ้อสหรัฐเร่งตัวชัดเจนมีโอกาสทำให้ราคาทองถีบตัวเหนือกรอบดังกล่าวได

เศรษฐกิจสหรัฐลดพึ่ง“คิวอี”

   สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายเจอโรม เพาเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2564 ตามเวลาท้องถิ่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐไม่ต้องการการสนับสนุนด้านนโยบายเพิ่มขึ้นอีกต่อไป สถานการณ์วันนี้ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อเพิ่ม ค่าแรงเพิ่ม ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ตรงข้ามกับเงื่อนไขเมื่อปี 2563 ที่โควิด-19 ระบาด

   ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของเฟด มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมล่าสุด ขณะเดียวกันเฟดยุติการทำคิวอีในเดือน มี.ค.2565 ซึ่งคิวอีรอบนี้เป็นผลจากเฟดประกาศเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2563 ว่าจะซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นหลักประกันการจำนองวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์จากสถาบันการเงินภายในประเทศในช่วงหลายเดือนต่อจากนั้น

    นอกจากนี้ ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2565 และจำนวน 2 ครั้งในปี 2566 และอีก 2 ครั้งในปี 2567

    การประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดวงเงินคิวอีสอดคล้องกับตลาดคาดการณ์ไว้ หลังจากเฟดส่งสัญญาณหลายครั้งว่าจะเร่งถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่เฟดเริ่มใช้เดือน มี.ค.2563 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19

เฟดลดเป้าจีดีพีสหรัฐปีหน้า

   ขณะเดียวกัน เฟดลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐปีนี้สู่ระดับ 5.5% ขณะที่ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวปี 2565 สู่ระดับ 4.0% และลดตัวเลขคาดการณ์ปี 2566 สู่ระดับ 2.2% และคงตัวเลขคาดการณ์ปี 2567 ที่ระดับ 2.0% ส่วนการขยายตัวระยะยาวอยู่ที่ 1.8%

    เฟดคงตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในปีนี้ที่ระดับ 0.13% ขณะที่ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 2565-2567 สู่ระดับ 0.88%, 1.63% และ 2.13% ตามลำดับ และคงตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ระดับ 2.5%

   ขณะเดียวกัน เฟดปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2564-66 สู่ระดับ 5.3%, 2.6% และ 2.3% ตามลำดับ และคงตัวเลขคาดการณ์ในปี 2567 ที่ระดับ 2.1% ขณะที่คงตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวอยู่ที่ระดับ 2.0%

    นอกจากนี้ เฟดปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 2564-2565 สู่ระดับ 4.3% และ 3.5% ตามลำดับ ขณะที่คงตัวเลขคาดการณ์ในปี 2566-2567 ที่ระดับ 3.5% ทั้ง 2 ปี และคงตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในระยะยาวที่ระดับ 4.0%

บิตคอยน์”ปรับบวก 

   เว็บไซต์คอยน์เดสก์รายงานว่า ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัลจับตาการประชุมเอฟโอเอ็มซีอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนักลงทุนในบิตคอยน์หลายคนมองว่า เงินเสมือนสกุลนี้เปรียบเสมือนการป้องกันความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าซึ่งอาจเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นทางการเงิน ดังนั้นเมื่อเฟดถอนมาตรการเร็วขึ้นก็อาจเป็นปัจจัยพิเศษเอื้อต่อราคาบิตคอยน์

    เมื่อเวลา 16.40 น. วานนี้ ตามเวลาประเทศไทย ราคาบิตคอยน์จากเว็บไซต์เดสก์คอยน์ซื้อขายกันที่ 48,910.96 ดอลลาร์ ในรอบ 24 ชั่วโมงราคาขึ้นมา 0.97%