Sideway up (ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564)

Sideway up (ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564)

วันจันทร์ที่ผ่าน ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงการซื้อ-ขาย จากแรงซื้อในหุ้นกลุ่ม ICT หลังจากที่มีความชัดเจนเรื่องของการควบรวมระหว่าง TRUE กับ DTAC

ทำให้หุ้นในกลุ่มปรับตัวขึ้นยกแผง จากมุมมองของตลาดว่าจะส่งผลให้การแข่งขันในธุรกิจสื่อสารลดลง ซึ่งส่งผลบวกต่อทั้ง ADVANC, INTUCH รวมไปถึง DIF แต่มีแรงขายในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงทั้ง PTT, PTTEP, PTTGC ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,649.54 จุด +4.48 จุด +0.27% มูลค่าการซื้อขาย 102,897 ลบ.ต่างชาติ +1,738.67 ลบ. TFEX +21,438 สัญญา ตราสารหนี้ +5,116.58 ลบ.

 

ปัจจัยบวก

+ ดัชนีดาวโจนส์ +17.27 จุด +0.05% หลังจากปธน.โจ ไบเดนเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวล ให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟด เป็นสมัยที่ 2 แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดลบจากการพุ่งขึ้นของ bond yield สหรัฐ
+ ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 81 เซนต์ +1% ปิดที่ 76.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ขานรับรายงานข่าวว่ากลุ่มโอเปคพลัส อาจปรับแผนการผลิต หากสหรัฐและพันธมิตรระบายน้ำมันออกจากคลังสำรอง
+ ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย LPR 1 ปีที่ 3.85% และ 5 ปีที่ 4.65% สอดคล้องคาดการณ์
+ สหรัฐรายงานยอดขายบ้านมือสอง +0.8%MoM สู่ระดับ 6.34 ล้านยูนิตในเดือนต.ค. สวนทางที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 6.20 ล้านยูนิต
+ กทม. เผยมีนทท.เดินทางเข้ามาแล้วเกือบ 6 หมื่นคนหลังเปิดเมือง
+ ธปท.แจงเปิดทางรวมหนี้ข้ามแบงก์ใช้บ้านค้ำประกันลดภาระดอกเบี้ย-ค่างวดระยะยาว
+ส่งออกเดือนต.ค. 64 ขยายตัว 17.4% 10M64 ขยายตัว15.7% ก.พาณิชย์คาดการส่งออกปีนี้จะเติบโตราว 15-16% สูงกว่าเป้าเดิมถึง 4 เท่าตัวและสูงเป็นประวัติการณ์

 

ปัจจัยลบ 

+/- ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ลดลง พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 5,126 ราย 1,516 ราย มีผู้เสียชีวิต 53 ราย รักษาหาย 7,748 ราย
- สหรัฐส่งรายงานข่าวกรองระบุว่า รัสเซียมีการสะสมกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเตรียมบุกยูเครนด้วยการโจมตีอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง
 

- ข้อมูลจากรัฐบาลกลางและมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในปี 2564 สูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดในปี 2563 แล้ว แสดงว่าภัยคุกคามของเชื้อไวรัสยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
- ออสเตรียเริ่มบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

แนวโน้มตลาดวันนี้

คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม ICT ที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่เริ่ม Rebound ช่วยพยุงตลาด คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,640-1,657 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุน  

• หุ้น Reopening Play : หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว MINT ERW CENTEL AWC SHR AOT AAV BA หุ้นกลุ่มขนส่ง BEM BTS หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN CRC MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร AU M ZEN หุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL BJC MAKRO
• MSCI Global Small Cap Indexes หุ้นเข้า BEC TIPH TIDLOR หุ้นออก TKN
• ประเด็นปรับขึ้นค่า Ft จะเป็นตัวหนุนต่ออัตราการทำกำไรหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า EA SSP GPSC BGRIM

 

 

หุ้นรายงานพิเศษ  

                                       TRUE-DTAC ประกาศควบรวม

•วานนี้ประชุมคณะกรรมการ TRUE และ DTAC มีมติอนุมัติให้ทำการศึกษาความเป็นไปได้และดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัท และอนุมัติให้เข้าทำ MOU ระหว่างกัน เพื่อบันทึกความประสงค์ของคู่สัญญาในการพิจารณาและศึกษาการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC เข้าด้วยกัน

•นอกจากนี้ ได้พิจารณากำหนดอัตราการจัดสรรหุ้น (Swap Ratio) สำหรับการจัดสรรหุ้นในบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบบริษัท (บริษัทใหม่) Swap Ratio สำหรับการจัดสรรหุ้นในบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมชื่อ Citrine Globalในอัตราส่วนดังนี้ 1 หุ้นเดิมใน TRUE ต่อ 2.40072 หุ้นในบริษัทใหม่ Citrine Global 1 หุ้นเดิมใน DTAC ต่อ 24.53775 หุ้นในบริษัทใหม่ Citrine Global อัตราการจัดสรรหุ้นข้างต้นกำหนดขึ้นจากสมมุติฐานว่า ภายหลังการควบบริษัท บริษัทใหม่จะมีหุ้น ที่ออก และจำหน่ายแล้วทั้งหมด จำนวน 138,208,403,204 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท อย่างไรก็ตาม จำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดและมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นของบริษัทใหม่ภายหลังการควบบริษัทจะ มีการเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นร่วมของ TRUE และ DTAC พิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนของการควบบริษัท ต่อไป

•ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUE หรือ DTAC ไม่ประสงค์จะถือหุ้นในบริษัทใหม่สามารถขายหุ้นของตนในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจได้ โดย TRUE เสนอซื้อหุ้นละ 5.09 บาทต่อหุ้น DTAC เสนอซื้อหุ้นละ 47.76 บาทต่อหุ้น

•ความเห็น : เรามีมุมมองเชิงบวกจากดีลดังกล่าว เนื่องจากการควบรวมจะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการของบริษัทใหม่ลดลงซึ่งเป็นผลดีต่อผลประกอบการในระยะยาว อย่างไรก็ตามมติที่ประชุมดังกล่าวเป็นเพียงการศึกษาความเป็นไปได้ และทำ MOU ระหว่างกันซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต เราจึงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”

 

หุ้นมีข่าว

(+) EA (Bloomberg Consensus 72.00 บาท) กางแผนปี 2565 โอกาสโตต่อเนื่อง รับรู้ธุรกิจอีวีเต็มสูบ พร้อมต่อยอด New S-Curve เผยโรงงานแบตเตอรี ขนาด 1 กิกะวัตต์ จะเปิดเชิงพาณิชย์ 12 ธันวาคมนี้ มองดีมานด์เพิ่มมากขึ้น เล็งขยายไป 4 กิกะวัตต์ ภายใน 2-3 ปี ส่วนปีนี้ผลงานตามเป้า เดินหน้าส่งมอบรถบัสอีวีให้กับลูกค้าเพิ่มพอร์ตรายได้ ส่วนปี 2564 มั่นใจรายได้เติบโตตามเป้า 20% (ที่มา ทันหุ้น)

(+) EPG (Bloomberg Consensus 14.95 บาท) ส่งซิกผลงานครึ่งปีหลังโตเด่น หลังหลายประเทศคลายล็อกดาวน์ ออเดอร์ในมือทยอยส่งมอบได้มากขึ้น ล่าสุดดึงพันธมิตรตุรกีร่วมทุน มั่นใจผลงานปีนี้ทะลุเป้าโต 12-15% หรือ 1.1 หมื่นล้านบาท และคาดว่าปี 2565-66 โตดีต่อเนื่อง หลังมีออเดอร์จากทั้งฐานลูกค้าเดิมและใหม่เข้ามาล้นมือ (ที่มา ทันหุ้น)

(+) ATP30 (ราคาเหมาะสม 1.60 บาท) มั่นใจรายได้ปีนี้ตามเป้า 480 ล้านบาท โต 15-20% กางแผนปีหน้ารายได้พุ่ง 20-25% หลังขยายฐานลูกค้าเพิ่ม โชว์ได้รับงานให้บริการรับส่งพนักงาน PTTGC และ GPSC (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) SVT (Bloomberg Consensus 3.10 บาท) ลั่นรายได้ปีนี้โต 11% พร้อมวางเป้าหมายปี 65 รายได้พุ่ง 25% คาดเพิ่มตู้เวนดิ้ง แมชชีน เป็น 17,000 ตู้ รุกขยายแฟรนไชส์ ลุ้นเพิ่ม 40 ราย หรือราว 2 พันตู้ ส่วนงบลงทุนวางไว้ 300 ล้านบาท (ที่มา ข่าวหุ้น)