KTB ประเมินน้ำท่วม กระทบผลผลิตข้าวเสียหาย 1.6 ล้านไร่ สูญ 5.4 พันล้านบาท

KTB ประเมินน้ำท่วม กระทบผลผลิตข้าวเสียหาย 1.6 ล้านไร่ สูญ 5.4 พันล้านบาท

Krungthai COMPASS ประเมินผลผลิตข้าวที่เสียหายจริงจะอยู่ที่ราว 1.6 ล้านไร่ คิดเป็นเพียง 2.3% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 5.4 พันล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัด นครราชสีมา นครสวรรค์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ และพิจิตร

KTB ประเมินน้ำท่วม กระทบผลผลิตข้าวเสียหาย 1.6 ล้านไร่ สูญ 5.4 พันล้านบาท       ศูนย์วิจับ Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า ท่ามกลางปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ที่เกษตรกรรวมถึงผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานธุรกิจข้าวต้องเผชิญอยู่

     โดยเฉพาะปัญหาในด้านการผลิตและการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมากของโรงสี (เกือบ 2 เท่าของปริมาณข้าวเปลือก ที่เป็นวัตถุดิบในแต่ละปี)

 

         อีกทั้งการบริโภคในประเทศก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น หนำซ้ำยังมีแนวโน้มลดลงตามกระแสรักษ์สุขภาพอีกด้วย ขณะที่การส่งออกข้าวก็ยากขึ้น เนื่องจากราคาส่งออกข้าวไทยเฉลี่ยยังสูงกว่าคู่แข่งและมีแนวโน้มที่จะถูกตีตลาดจากข้าวพื้นนุ่มของเวียดนามที่เป็นที่นิยมมากขึ้นในตลาดโลก 

      จึงมีความกังวลและเกิดคำถามว่าปัญหาอุทกภัยในปีนี้ที่ขยายวงไปในหลายพื้นที่ของประเทศ ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง จะมาซ้ำเติมธุรกิจข้าวอีกหรือไม่ ผลกระทบจะมีมากน้อยเพียงใด รวมถึงพื้นที่ไหนและจังหวัดใดที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด

      เครื่องมือที่ช่วยประเมินผลกระทบจากปัญหาภัยธรรมชาติก้าวหน้าแค่ไหน?

     ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมมาช่วยในการวิเคราะห์ผลกระทบจากภัยธรรมชาติ จากเดิมที่ใช้วิธีการลงพื้นที่สำรวจ ซึ่งในบางครั้งข้อมูลอาจล่าช้าและไม่ทันเหตุการณ์
      โดยข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมจัดเป็นข้อมูล High-Frequency Indicator ซึ่งความถี่ในการอัพเดทข้อมูลเป็นรายวัน ทำให้ช่วยติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติล่าสุดได้

    ยกตัวอย่างเช่นแผนที่ดาวเทียมของ GISTDA ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2021 แสดงให้เห็นว่ายังคงมีจังหวัดที่มีน้ำท่วมขัง ได้แก่ จังหวัดในภาคกลาง คือ  

     สุโขทัย พิษณุโลก ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา อุบลราชธานี นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี

   

ประเมินผลผลิตข้าวเสียหายเท่าไหร่? ผลผลิตข้าวจังหวัดไหนได้รับความเสียหายมากสุด?

     จากข้อมูลทางดาวเทียมของ GISTDA พบว่า พื้นที่ปลูกข้าวได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้มีประมาณ 3.9 ล้านไร่

     โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่าผลผลิตข้าวเปลือกจะได้รับเสียหายจริงประมาณ 1.6 ล้านไร่ หรือคิดเป็นเพียง 2.3% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ และคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 5,400 ล้านบาท 

     โดยผลผลิตข้าวที่ได้รับความเสียหายส่วนใหญ่เป็นข้าวที่อยู่ในระยะ (Stage) ของการเจริญเติบโต หรือข้าวที่ออกรวงและพร้อมเก็บเกี่ยว
      ส่วนข้าวที่เพิ่งหว่านคาดว่าจะสามารถทนน้ำได้ และหากเป็นพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมขังนาน ข้าวจะไม่เสียหายมากนัก

    โดยปกติข้าวจะทนน้ำได้อย่างน้อย 15 วัน ทั้งนี้ จากการประเมินเบื้องต้น จังหวัดที่คาดว่ามีผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา นครสวรรค์ ชัยภูมิ ศรีสะเกษ และขอนแก่น ตามลำดับ

    ความเสียหายเมื่อเทียบกับอุทกภัยปี 2011 และภัยแล้งในปี 2015

     หากเทียบกับความเสียหายจากมหาอุทกภัยในปี 2011 และปัญหาภัยแล้งในปี 2015 เรียกได้ว่าอุทกภัยปีนี้มีสัดส่วนความเสียหายน้อยมาก 
      โดยจากข้อมูลของคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติและสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ชี้ว่าอุทกภัยปี 2011 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายอยู่ที่ 11.2 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมถึง 43,601 ล้านบาท

      มากกว่าความเสียหายในปีนี้ถึง 8 เท่า ขณะที่ภัยแล้งในปี 2015 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่ได้รับความเสียหายอยู่ที่ 2.9 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 10,508 ล้านบาท มากกว่าครั้งนี้ประมาณ 2 เท่า  และนอกจากปัญหาอุทกภัยในรอบนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวมากนักแล้ว
       คาดว่าจะทำให้ปริมาณน้ำสะสมใช้การได้ในเขื่อนอยู่ในระดับสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีให้ช่วงฤดูแล้งของปี 2022 จะมีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก

    ทิศทางธุรกิจข้าวปี 2022 จะเป็นอย่างไร?

     Krungthai COMPASS มองว่า ในปี 2022 ผลผลิตข้าวเปลือกจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 32 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 6.3%YoY จากสภาพภูมิอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมากยิ่งขึ้น 
      ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะดีขึ้นแต่ไม่มากนัก โดยอยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านตัน และยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับในช่วงปี 2007-2018 ที่เคยส่งออกได้เฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตัน

.    ทั้งนี้ เนื่องจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่า จะทำให้ราคาข้าวไทยแข่งขันกับราคาข้าวที่ต่ำกว่าของประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดียได้ยากขึ้น อีกทั้งคาดว่าผลผลิตข้าวของประเทศคู่แข่งสำคัญของไทย
      เช่น  เวียดนามและอินเดีย จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ยิ่งทำให้การแข่งขันในตลาดข้าวโลกรุนแรง

     จึงคาดว่าราคาขายส่งข้าวสารของไทยจะมีแนวโน้มลดลง โดยประเมินว่าในครึ่งแรกของปี 2022 ราคาขายส่งข้าวขาว 5% เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 11,270 บาท/ตัน  หรือลดลง 21.1%YoY ส่วนราคาขายส่งข้าวหอมมะลิ 100% เฉลี่ยจะอยู่ที่ 18,668 บาท/ตัน หรือลดลง 20.7%YoY 

     นอกจากนี้ ปัญหาต้นทุนค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นปัจจัยถ่วงอัตรากำไรของธุรกิจ 

    แม้อุทกภัยรอบนี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวอย่างมีนัยสำคัญ แต่ธุรกิจโรงสียังมีความเสี่ยงด้านวัตถุดิบที่มีน้อยกว่ากำลังการผลิตโดยรวม

      ประกอบกับต้องแข่งขันด้านราคาในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อรักษากำลังการผลิต ทำให้
มีต้นทุนในการผลิตสูง ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารถูกกดดันจากตลาดส่งออก

      ส่งผลให้ Margin ของธุรกิจโรงสีข้าวอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งหากมีสต็อกเดิมเหลืออยู่และระบายออกไม่ทันจะยิ่งมีความเสี่ยงขาดทุนสต็อกมากขึ้น 

       ปัญหาภัยธรรมชาติเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ยากและส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวเปลือก ดังนั้น ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจข้าวควรให้ความสำคัญในการติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

     ซึ่งปัจจุบันมีข้อมูลเผยแพร่ทั้งจากหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ โดยทาง Krungthai COMPASS ได้รวบรวมไว้เบื้องต้น ดัง Box.1

    1. แนวโน้มการเกิด El nino หรือ La Nina แสดงผลพยากรณ์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดปรากฎการณ์ El nino (ภาวะฝนแล้ง) หรือ La nina (ภาวะฝนมาก)

.    ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดพบว่าโอกาสเกิด La nina ในช่วงต้นปีหน้าน้อยลง

      โดยผลพยากรณ์ต้นเดือนตุลาคม 2021 แสดงให้เห็นว่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดปรากฎการณ์ LaNina (กราฟแท่งสีน้ำเงิน) ในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมอยู่ที่ 65-85% (ภาพล่างด้านซ้าย) แต่ผลพยากรณ์เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2021 กลับพบว่า ความน่าจะเป็นที่สภาพอากาศจะอยู่ในปรากฎการณ์ La Ninaในช่วงเดียวกัน ลดลงไปอยู่ที่ 45-72% (ภาพด้านล่างขวา) สอดคล้องกับความน่าจะเป็นที่สภาพอากาศจะอยู่ในภาวะปกติ (กราฟแท่งสีเทา)

.    ซึ่งผลพยากรณ์ต้นเดือนตุลาคม 2021 อยู่ที่เพียง 12-35%(ภาพด้านล่างซ้าย) แต่ผลพยากรณ์เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2021 เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 28-55% (ภาพด้านล่างขวา)

     2. ทิศทางกระแสลมและพายุ

https://earth.nullschool.net/

     แสดงภาพการเคลื่อนไหวและทิศทางของกระแสลมและการเคลื่อนตัวของพายุ โดยการเคลื่อนไหวของลมในเดือนพฤศจิกายน 2021 จะเห็นได้ว่ามีกระแสลมเคลื่อนตัวผ่านบริเวณภาคอีสานและภาคใต้ของไทย ทำให้ยังคงมีฝนตกในพื้นที่ดังกล่าว
     อีกทั้งหากมีการเคลื่อนตัวของพายุผ่านประเทศไทย ภาพจะแสดงเป็นกระแสลมแบบหมุนวน

    3. คาดการณ์ปริมาณน้ำฝน

https://iri.columbia.edu/our-expertise/climate/forecasts/seasonal-climate-forecasts/

     แสดงการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนในแต่ละพื้นที่ โดยหากพื้นที่ใดมีแถบสีขาว (อยู่ในกลุ่ม Normal) แสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวมีปริมาณฝนตกปกติ
      เช่น ในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2022 คาดว่าในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลางของไทยฝนจะตกปกติ ขณะที่พื้นที่ภาคใต้จะมีฝนตกมากกว่าปกติ (แถบสีเขียว

    4.ปริมาณน้ำในเขื่อนใช้การได้รายภาค

http://nationalthaiwater.onwr.go.th/dam  พิจารณาเบื้องต้นจากปริมาณน้ำในเขื่อนใช้การได้จริง หากต่ำกว่า 30% แสดงว่าอยู่ในระดับวิกฤต 

    5.ข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมจากดาวเทียมของ Gistda

https://flood.gistda.or.th/

      พื้นที่สีน้ำเงินคือ บริเวณที่เกิดน้ำท่วมขัง โดยข้อมูลจะอัพเดตเป็นรายวัน