ยักษ์ใหญ่ “ไทยเบฟ” ลั่น2-3ปีวัดขุมกำลังธุรกิจ “ใครจะอยู่รอด-ไม่รอด”

ยักษ์ใหญ่ “ไทยเบฟ” ลั่น2-3ปีวัดขุมกำลังธุรกิจ “ใครจะอยู่รอด-ไม่รอด”

ริมถนนนักลงทุน เสิร์ฟความเคลื่อนไหวแวดวงตลาดหุ้น หนึ่งความเคลื่อนไหวน่าสนใจ ยกให้ ความเคลื่อนไหว ธรรมเนียมประจำปี “ยักษ์ใหญ่ไทยเบฟ” เล่าอนาคตธุรกิจหลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด “เจ้าสัวน้อยฐาปน” ย้ำว่า 2-3 ปี เป็นห้วงเวลาวัดใจ วัดขุมกำลังธุรกิจว่า “ใครจะอยู่รอด-ไม่รอด”

 ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนทั้งไทยและทั่วโลก ที่แสวงหาโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นคงต้องตกอยู่ในภาวะ “ตลาดหุ้นเอาใจยาก!” เริ่มตั้งแต่กังวลปัญหา “หนี้เอเวอร์แกรนด์” ส่งผลให้ตลาดหุ้นแดงเถือกทั่วโลก ! ก่อนจะกลับมารีบาวด์สวยงาม หลังคลายความกังวลว่าจะไม่ลุกลามเป็นวิกฤติ

แต่ต่อมากังวล Bond yield และ เงินเฟ้อ และการจ่ายหนี้ของสหรัฐฯ และสัปดาห์นี้ ! คลายกังวลทุกปัญหา ตลาดหุ้นกลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง ...!! ดัชนีปรับตัวขึ้นมา 1,689 จุดไปเลย ส่งผล “กูรู” พาเหรดออกมาปรับคาดการณ์ SET INDEX มีโอกาสปลายปีแตะ 1,700 จุด อ้าว... “จริง” หรือ “ลวง” ต้องรอดูกันต่อไป 

 เป็นประจำทุกปีที่ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มอย่าง “ไทยเบฟ” จะแถลงแผนธุรกิจ เล่าทิศทางการขับเคลื่อนอาณาจักร “แสนล้าน” จะโตต่อรองรับอนาคตอย่างไร แต่ปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2564 ธุรกิจต้องเผชิญโรคระบาดครั้งใหญ่กับวิกฤติโควิด-19 ทำให้องค์กรต้องปรับตัวพลิกกระบวนท่ามากมายเพื่อยืนระยะให้รอดช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก 

 พ้นช่วง “วิกฤติโควิด-19” แล้ว ตลาดจะกลับมาแข่งขันอย่างไร เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน “กำลังซื้อลดลง” เป็นสิ่งที่สื่อโยนคำถามให้เจ้าสัวน้อย “ฐาปน สิริวัฒนภักดี” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คำตอบน่าสนใจไม่น้อย เพราะ “เจ้าสัวหนุ่มฐาปน” ย้ำว่า 2-3 ปีข้างหน้า เป็นห้วงเวลาวัดใจ วัดขุมกำลังธุรกิจว่า “ใครจะอยู่รอด-ไม่รอด”  

๐ “เจ้าสัวน้อยไทยเบฟ” ที่มองแบบนั้น เพราะการกลับมาของผู้ประกอบการธุรกิจ เพื่อรับการเปิดประเทศ การฟื้นตัวธุรกิจ จะต้องเห็นการออกอาวุธการตลาด ห้ำหั่นด้วยโปรโมชั่น กลยุทธ์ด้านราคาสารพัด หรือ เรียกว่าเป็นสงครามบนน่านน้ำแดงเดือด (Red Ocean) อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า การทำโปรแรงจะส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร หรือ Margin ให้อยู่ระดับต่ำนั่นเอง “หลังจากนี้การแข่งขันดุเดือดแน่นอน และรออีก 2 ปีใครจะตอบโจทย์ผู้บิริโภคได้ คนนั้นอยู่รอด แต่การที่โปรโมชั่นแรง นั่นแสดงว่ามาร์จินธุรกิจจะต่ำลง การจะอยู่รอด 2-3 ปีข้างหน้า เช็กบิลได้เลยนะ”

ยักษ์ใหญ่ “ไทยเบฟ” ลั่น2-3ปีวัดขุมกำลังธุรกิจ “ใครจะอยู่รอด-ไม่รอด” ฐาปน สิริวัฒนภักดี

๐ การฮึดทำตลาด เพื่อกอบกู้ยอดขายก็สำคัญ แต่การทำธุรกิจในอนาคตถูกท้าทายขึ้นเรื่อยๆ การปรับตัวยังเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่ง “ฐาปน” ย้ำว่า ยุคนี้ใครคิดทำการค้าขายแบบเดิมๆ มีหวาดเสียว! แน่นอน ส่วนไทยเบฟ ค่อนข้างโชคดี เพราะที่ผ่านมา องค์กรได้ “ทรานส์ฟอร์ม” หลายด้านตามวิสัยทัศน์ 2020 เดินหน้าพัฒนาธุรกิจรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และสร้างสรรค์สินค้าให้ตรงใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

 นอกจากโจทย์ธุรกิจที่ต้องตอบ ประเด็นการเมือง เป็นสิ่งที่บิ๊กคอร์ป ต้องเจออยู่แล้ว คำถามหนีไม่พ้นการวิพากษ์การทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการบริหารจัดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมถึงการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว กลับมาเติบโต “ช้า” กว่านานาประเทศถึง 1 ปี “ฐาปน” คิดเห็นอย่างไรบ้าง !? 

๐ งานนี้...! ก่อนตอบคำถาม “ฐาปน” ยิ้มกว้างขั้นสุด พร้อมเริ่มประโยค “กำลังคิดว่าจะตอบคำถามยังไงดี จะได้ไม่หลวมตัวให้สื่อพาดหัวข่าว” แล้วตบด้วยความเห็นว่า ทุกคนพยายามทำหน้าที่ตัวเองอย่างดีที่สุด รัฐทำได้ดีอย่างที่พยายามทำ การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 4 อยู่อยู่ในช่วงที่ได้วัคซีนล่าช้า แต่ถือเป็นประเทศแรกๆที่ได้วัคซีน หากเทียบเวียดนาม หรือสิงคโปร์ ประชากรน้อยกว่า ย่อมมีการเปรียบเทียบ แต่ถือว่าไทยประคองสถานการณ์ได้ไม่น้อยหน้าใคร ระดมสรรพกำลังเต็มความสามารถ

 ขณะที่การวิจารณ์การทำงาน การบริหารจัดการวัคซีนของรัฐในวงกว้าง “ฐาปน” ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน ด้วยเรื่องราวของ “ครอบครัว” ตนเอง ที่มีทั้งบิดา-มารดา พี่น้อง หลาน เครือญาติ และเขย-สะใภ้ฯ จะฉีดวัคซีน ยังต้องถกเถียงกันภายใน และเป็นเรื่องยากที่ต้องตัดสินใจจะให้ผู้ใหญ่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ต่างจากรัฐบาลเพียงแค่เป็น “บ้านใหญ่” ที่ต้องดูแลคนทั้งประเทศ และอาจไม่ได้ทำให้คนถูกใจได้ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าพยายามประคับประคองในฐานบ้านหลังใหญ่ 

๐ เห็นแล้วดีต่อใจ เมื่อแม่ทัพใหญ่ “ศิวัตร เชาวรียวงษ์” ประธานกรรมการบริหาร กรุ๊ปเอ็ม (ประเทศไทย) ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค ถึงการทุ่มเททำงานหนักมาโดยตลอดของบุคลากรในองค์กร และย่อมก่อให้เกิดความเครียดสะสมเป็นเวลานาน จะส่งผลไม่ดีต่อจิตใจ จึงได้เวลาถอดปลั๊กคอมฯ … ขับรถออกไปไกลๆ นั่งจิบกาแฟกับหนังสือดีๆ สักเล่ม ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

จึงเป็นที่ของวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา "กรุ๊ปเอ็ม และเอเยนซี่ในกลุ่ม” ให้พนักงานทุกคน หยุดพักจากงาน ผ่อนคลายความคิด หากิจกรรมเสริมพลังใจ ชาร์จแบตให้ตัวเอง เนื่องในวัน World Mental Health Day ที่กำลังจะมาถึง แน่นอนว่าชาร์จแบตเพิ่มพลังแล้ว ต้องเตรียมตัวรับมือกับงานหนักเช่นเดิม เพราะภารกิจของดิจิทัล เอเยนซี่ ยังต้องเดินหน้าช่วยลูกค้าทำตลาดสร้างแบรนด์ไม่พอ ต้องกระตุ้นยอดขายให้เกิดขึ้นด้วย หลังจากที่่ผ่านมาธุรกิจเผชิญบททดสอบใหญ่จากวิกฤติโควิด จนกระเทือนผลประกอบการไม่น้อย

๐ ตั้งแต่ “วิกฤติโควิด” ย่างกรายเข้ามา ทำให้ผู้คนต้องทำงานที่บ้าน หลายองค์กรเห็นตรงกันว่าทำงานหนักขึ้น ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ยิ่งกว่านั้นโจทย์ธุรกิจยากขึ้นด้วย ทำให้ “ความเครียด” เพิ่มเป็นเงาตามตัว องค์กรระดับโลกจึงให้พนักงานได้มีเวลา “พักผ่อน” หนึ่งในนั้นคือ “ไนกี้” ที่ให้พนักงานหยุด 1 สัปดาห์ ก่อนกลับมาทำงานอีกครั้ง หลัง Work From Home ร่วมปี