ภาพใหญ่คือการหมุนออกหุ้นจากกลุ่มที่เคยได้ประโยชน์จากโควิด

ภาพใหญ่คือการหมุนออกหุ้นจากกลุ่มที่เคยได้ประโยชน์จากโควิด

โควิดจบแล้วอย่างไม่เป็นทางการ เราประเมินความผันผวนของตลาดหุ้น, การที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด, การเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร

รวมไปถึงแรงทำกำไรหุ้นในกลุ่มเทคโนยีที่กำลังเกิดขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการหมุนกลุ่มหุ้น (rotation) ออกจากกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิด การฮีดวัคซีนที่กำลังดำเนินไปทั่วโลก และการค้นพบยารวมถึงวิธีการรักษาใหม่ๆที่ทยอยตามมาทำให้สถานการณ์โควิด “จบลงแล้วอย่างไม่เป็นทางการ” และนักลงทุนจะมองไปยังความเป็นไปได้ของโลกหลักโควิด และการเปิดเมืองที่จะทยอยเกิดขึ้นตามมา ซึ่งจะทำให้หุ้นในกลุ่ม re-opening ทยอยฟื้นตัว แม้อาจจะเผชิญความผันผวนระยะสั้นจากภาวะการลงทุน และผลประกอบการระยะสั้นที่ยังอ่อนแอ

ระยะสั้นพลังงานยังเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด เนื่องจากความเคลื่อนไหวของน้ำมันดิบและถ่านหินที่ได้ผลบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันเงินเฟ้อ (inflation hedged asset) ล่าสุดกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรยังคงยึดมั่นตามข้อตกลงเดิมในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วันในแต่ละเดือน ซึ่งน้อยกว่าความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นและทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นสูงสุดนับจากปี 2557 เป็นต้นมา

 

บรรยากาศลงทุนทั่วโลกระยะสั้นอาจผันผวน จากการปรับประมาณการกำไร สถานการณ์โควิดทำให้กำไรบจ.ลงต่ำสุดในช่วงกลางปีหรือปลายไตรมาส 3/63 หลังจากนั้นทิศทางกำไรของบจ.ทั่วโลกเป็นขาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มชะลอจากผลของการระบาดสายพันธ?เดลต้าในไตรมาส 3/64 ทำให้นักลงทุนจะจับตาความเสี่ยงและความแรงของการปรับลดประมาณการที่เกิดขึ้นใรอบนี้ที่จะส่งผลกระทบต่อ Valuation และเป้าหมายของหุ้นรายตัว โดยกลุ่มแรกที่จะประกาศผลประกอบการได้แก่ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเราประเมินภาพกำไรจะเติบโต YoY แต่ลดลง QoQ หลังกำไรช่วงสั้นผ่านจุดสูงสุดของปีในไตรมาส 2/64 ไปแล้ว เบื้อต้นคาดกำไรดังนี้ BBL 6.5 พันล้านบาท (+61% YoY, +2% QoQ) / KBANK 9 พันล้านบาท (+35% YoY, +1% QoQ) / SCB 8 พันล้านบาท (+72% YoY, -10% QoQ) / TISCO 1.58 พันล้านบาท (-2% YoY, -5% QoQ)

ธีมการลงทุนระยะสั้น 1) กลุ่มโภคภัณฑ์ป้องกันเงินเฟ้อ PTTEP, PTTGC, IVL, TOP, BANPU 2) การเพิ่มเพดานหนี้เป็น 70% และแผนกู้เงินเพิ่ม จะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น ซึ่งบวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน อาทิ BBL, KBANK, SCB, TIPH, THRE, BLA 3) หุ้นธีมเปิดเมืองยังน่าสนใจแม้อาจย่อจากมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการผ่อนคลายกทม.ที่น่าจะล่าช้าไปจาก 15 ต.ค. CPN, CRC, MINT, CENTEL, ERW, BA 4) เรามองทยอยสะสม สื่อสาร สาธารณูปโภค ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART, GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW 5) เก็งกำไรทางเทคนิค WIIK, FORTH, FSMART, TNP, TWPC, NER, HFT, BEC, CPI, TKS, SKN, MAJOR, CPN, ERW
 

ภาพรวมกลยุทธ์: ยังอยู่ในแนวโน้มแกว่งลง (sideways down) โดยมีแนวรับ 1,605 และ 1,585 ตามลำดับ ยยังคงจับตากลุ่มพลังงานจะสามารถทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไปได้เพื่อเปลี่ยนกรอบการเล่นได้หรือไม่? //หุ้นแนะนำ: BANPU*, AJ*, CPN*, WHA*
แนวรับ: 1,585-1,605/ แนวต้าน : 1,623-1,630 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 

ประเด็นการลงทุน

ดันลงทุนอีอีซี 5 ปี 2.2 ล้านล้าน - ที่ประชุม กพอ.เห็นชอบปรับแผนลงทุนอีอีซีในระยะ 5 ปีข้างหน้า (ปี 65-69) โดยมีเป้าหมายการลงทุนสูงกว่าเดิม จากเดิมที่กำหนดวงเงินลงทุนไว้ที่ 1.7 ล้านล้านบาท เป็น 2.2 ล้านล้านบาท คาดหนุน GDP โต 5%

BGRIM – ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานลมโปแลนด์ วางฐานยุโรปเผยมีโครงการใหม่อีกเพียบ จับตาไตรมาส 4/64 ปิดดีลอีก 3 โครงการในมาเลเซียและในไทย ปูทางสู่ 1 หมื่นเมกะวัตต์ 

AMATA - รับนิคมอุตสาหกรรมดีขึ้นหลังลดเวลากักตัวเหลือ 7 วัน ช่วยนักลงทุนต่างชาติเข้าไทย เจรจาซื้อง่ายขึ้น รับลูกค้าจีนสนใจลงทุนในไทยต่อเนื่อง

HYDRO – เพิ่มทุนอัตรา 2:1 หรือ 768 ล้านหุ้น ที่ราคา 0.18 บาท XR 22 พ.ย.64 ชำระค่าหุ้น 8 ธ.ค.-15 ธ.ค.64

ผลของการปรับลดราคาดีเซล – 1) วันนี้ปรับลดราคา B7 ลง 1 บาท จากการลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน 0.99 บาท ซึ่งไม่กระทบกับค่าการตลาด 2) ขณะที่แผนปรับลดเป็น B6 ที่จะเริ่ม 11 ต.ค. เป็นจิตวิทยาลบต่อกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม (CPI, VPO, UVAN, UPOIC) และผู้ผลิตไบโอดีเซลล์ (GGC, AIE, AI) แต่ไม่กระทบกับกลุ่มปั๊มน้ำมัน (PTG, OR, BCP) 3) แต่กลุ่มปั๊ม อาจมีขาดทุนเล็กน้อยจากสต็อคน้ำมันที่มีอยู่ โดยคนที่มีปั๊มเป็นของตัวเองมาก (PTG) อาจขาดทุนมากกว่าคนที่มีแฟรนไชส์มาก (OR)

ประเด็นติดตาม: -  5 ต.ค.: TH CPI เดือน ก.ย. / 6 ต.ค.: US Oil inventories, EU retail sales เดือน ส.ค. / 8 ต.ค.: US Employment Report

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)