พาณิชย์เตรียมแก้ปัญหาเหล็กกระป๋องหลังโดนเหล็กถูกเข้ามาตีตลาด

พาณิชย์เตรียมแก้ปัญหาเหล็กกระป๋องหลังโดนเหล็กถูกเข้ามาตีตลาด

"จุรินทร์ เผยเตรียมเรียกประชุมคณะกรรมการพิจารณาทุ่มตลาด เคาะแนวทางแก้ปัญหาเก็บภาษีเอดีทินเพลต ย้ำผู้ผลิตในประเทศ และผู้ผลิตอาหารกระป๋อง ต้องอยู่รอดได้ ไม่เช่นนั้น ขึ้นภาษีเอดี ทำต้นทุนอาการกระป๋องพุ่ง และอาจขึ้นราคาขาย ผู้บริโภครับกรรม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมชมโรงงานเหล็กแผ่นชุบหรือเคลือบด้วยดีบุก โครเมี่ยม ณ บริษัท แผ่นเหล็กวิลาสไทย จำกัด (มหาชน) ว่า โรงงานนี้ผลิตเหล็กทำกระป๋องใส่อาหาร โดยนำเข้าเหล็กม้วนมาชุบโครเมียมและชุบดีบุก แล้วตัดให้เป็นแผ่นสำหรับทำกระป๋อง แต่ขณะนี้มีเหล็กจากต่างประเทศราคาถูก เข้ามาตีตลาดในไทย ซึ่งมีราคาถูกกว่าเหล็กที่ผลิตในประเทศ 13% ทำให้ผู้ผลิตเหล็กทำกระป๋อง (ทินเพลต) ได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้า และได้ยื่นเรื่องให้กระทรวงพาณิชย์เปิดไต่สวนการทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าจากต่างประเทศ  

แต่กลับกัน การใช้เหล็กราคาถูกจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ผลิตอาหารกระป๋อง มีต้นทุนต่ำลง โดยเหล็กแผ่นม้วนในประเทศตันละ 37,000 บาท แต่เหล็กแผ่นม้วนนำเข้าตันละ 33,000 บาทเท่านั้น ที่สำคัญต้นทุนราคากระป๋อง คิดเป็นสัดส่วนสูงมากในต้นทุนผลิตโดยรวมของอาหารกระป๋อง เช่น อาหารทะเลกระป๋อง สัดส่วน 12.5% ผลไม้กระป๋อง สัดส่วน 50% หากใช้เหล็กกระป๋องราคาถูก ก็จะช่วยลดต้นทุนผู้ผลิตอาหารกระป๋องได้  

พาณิชย์เตรียมแก้ปัญหาเหล็กกระป๋องหลังโดนเหล็กถูกเข้ามาตีตลาด

"โจทย์คือ เราจะสร้างสมดุลได้อย่างไร ระหว่างการทำให้โรงงานผลิตแผ่นเหล็กที่ทำกระป๋องอยู่ได้ ซึ่งปัจจุบันมี 2 โรงงานใหญ่ และต้องลดต้นทุนการผลิตอาหารกระป๋องของไทยด้วย เพื่อให้ทั้งผู้ผลิตเหล็กทำกระป๋อง และผู้ผลิตอาหารกระป๋องอยู่รอดได้ ซึ่งในอีกไม่กี่วันนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการทุ่มตลาด ที่มีผมเป็นประธาน เพื่อหาทางออก”  นายจุรินทร์ กล่าว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนึ่งในแนวทางแก้ปัญหา เพื่อให้ทั้งผู้ผลิดตทินเพลต และผู้ใช้อยู่รอดได้นั้น คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาด อาจประกาศยกเว้นเก็บภาษีเอดีทินเพลตชั่วคราวเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ที่ได้ยกเว้นให้กับเหล็กเมทัลชีท เพราะการเก็บภาษีเอดี จะทำให้ต้นทุนการผลิตของอาการกระป๋องสูงขึ้น และอาจทำให้ผู้ผลิตต้องปรับขึ้นราคาขายอาหารกระป๋อง และสุดท้ายผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้