สคร.ยันเป้าเบิกจ่ายรัฐวิสาหกิจปีนี้85%

สคร.ยันเป้าเบิกจ่ายรัฐวิสาหกิจปีนี้85%

สคร.เผย กำลังประเมินผลกระทบโควิด-19 ที่อาจทำให้การลงทุนรัฐวิสาหกิจล่าช้า แต่ยืนเป้าหมายเบิกจ่ายงบลงทุนปีนี้ที่ 85% ด้านการนำส่งรายได้คงที่ 1.59 แสนล้านบาท ขณะที่ ยอดนำส่ง ณ เดือนเม.ย.ต่ำเป้าหมายประมาณ 3.19 หมื่นล้านบาท

นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)เปิดเผยว่า สคร.จะพยายามผลักดันการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีนี้ให้ได้ถึง 80-85%ของวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในปีนี้ อย่างไรก็ตามสคร.กำลังจะประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ต่อโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ว่าทำให้การลงทุนในโครงการล่าช้าหรือไม่

ทั้งนี้ จนถึงขณะนี้แผนการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้ง 43 แห่ง ณ เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ยังสามารถเบิกจ่ายได้เป็นไปตามแผนการลงทุนที่กำหนดไว้ โดยเบิกจ่ายได้ 1.30 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อยขณะที่ กรอบวงเงินลงทุนรวมของรัฐวิสาหกิจในปีนี้ อยู่ที่ 3.46 แสนล้านบาท

สำหรับโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น โครงการของการรถไฟแห่งประเทศ,โครงการรถไฟฟ้าในเมือง ของ รฟม ,โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 และโครงการลงทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น

ในด้านของรายได้ที่รัฐวิสาหกิจจะต้องนำส่งให้กระทรวงการคลังในปีนี้นั้น สคร.ยังคงเป้าหมายที่จะให้รัฐวิสาหกิจนำส่งรวม 1.59 แสนล้านบาทซึ่ง ณ เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจได้นำส่งรายได้ให้กระทรวงการคลังรวมแล้ว 7.69 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 3.19 หมื่นล้านบาท

สำหรับสาเหตุที่รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ต่ำเป้าหมาย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัญหาบางรัฐวิสาหกิจจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่ล่าช้า และรวมถึง ปัญหาคลุกคลักในช่วงที่สถาบันการเงินของรัฐ นำมาตรฐานรายงานการเงินฉบับใหม่ (IFRS9 )มาใช้ ทำให้การนำส่งเงินในช่วงเวลาที่ผ่านล่าช้า อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญหาเหล่านั้นผ่านไปแล้ว คาดว่า การนำส่งน่าจะกลับสู่ภาวะปกติ

ผอ.สคร.กล่าวว่า ตามปกติการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจให้แก่กระทรวงการคลังนั้น จะกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ หรือ กำหนดเป็นตัวเลขที่ชัดเจนแล้วแต่ว่าตัวเลขไหนจะสูงกว่ากันก็ให้ใช้ตัวเลขนั้น เป็นฐานในการนำส่งรายได้ให้กระทรวงการคลังซึ่งรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่มีกำไรสะสมสูงสคร.ก็อาจจะเรียกให้นำส่งมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็จำเป็นต้องดูให้เหมาะสมกับสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ และความจำเป็นในการลงทุนของรัฐวิสาหกิจนั้นๆด้วย