การขนส่งสีเขียวในธุรกิจค้าปลีก



แนวทางการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมการขนส่งของธุรกิจค้าปลีกยังรวมถึงการสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดจากการขนส่ง !
นอกจากการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งและการลดความยาวของโซ่อุปทานตามที่ได้พูดถึงในบทความที่แล้ว แนวทางการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมการขนส่งของธุรกิจค้าปลีกยังรวมถึงการสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดจากการขนส่งในแต่ละเที่ยว ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่สามารถทำได้คือ การเพิ่มปริมาณการบรรทุกสินค้าในแต่ละเที่ยวการขนส่งให้เต็มความสามารถของการบรรทุก ตัวอย่างเช่น การที่ Amazon ได้จัดทำแคมเปญ 'Amazon Day Delivery' ที่เป็นการรวบรวมสินค้าเพื่อจัดส่งพร้อมกันเพียงหนึ่งวันต่อสัปดาห์ โดยให้ลูกค้าสามารถเลือกหนึ่งวันในสัปดาห์สำหรับการจัดส่งสินค้าที่สั่งซื้อทั้งหมดตลอดสัปดาห์ทางช่องทางออนไลน์ โดย Amazon จะรวมคำสั่งซื้อหลายรายการไว้ในกล่องเดียวกันเพื่อลดความสิ้นเปลืองของปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่ต้องใช้ จะเห็นได้ว่าแคมเปญ 'Amazon Day Delivery' ไม่เพียงแต่จะลดต้นทุนการขนส่งและปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการขนส่งช่วงระยะสุดท้าย หรือ Last Mile Delivery ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยลดปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ และเพื่อเป็นการตอบแทน Amazon จะมอบเครดิตให้กับลูกค้าสำหรับการเลือกตัวเลือกการจัดส่งตามแคมเปญดังกล่าว ซึ่งจะมีความล่าช้ามากกว่าปกติ แต่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Sainsbury ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ปัจจุบันใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหราชอาณาจักรก็ได้จัดทำระบบขึ้นมารองรับแคมเปญ 'Enjoy greener grocery delivery' สำหรับการขนส่งสินค้าที่สั่งซื้อออนไลน์ โดยที่จะมีการแจ้งในระบบให้ลูกค้าสามารถเห็นได้ว่าในบริเวณพื้นที่ของตนเองมีลูกค้ารายอื่นที่เลือกช่วงเวลาในการจัดส่งเวลาใด เพื่อที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกจัดส่งสินค้าในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลด Carbon Footprint ที่เกิดจากการขนส่ง
ทั้งนี้ การเพิ่มปริมาณการบรรทุกสินค้าในแต่ละเที่ยวการขนส่งให้เต็มความสามารถเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมากในการสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดจากการขนส่งในแต่ละเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาช่องทางการขายออนไลน์ ซึ่งหากบริหารการขนส่งไม่ดีแล้ว E-commerce จะมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Bricks and Mortar) เนื่องจากแทนที่จะส่งสินค้าแบบพาเลทด้วยรถบรรทุกแบบเต็มคันไปยังร้านค้าซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ระบบนิเวศน้อยกว่า กลายเป็นการจัดส่งพัสดุขนาดเล็กไปยังผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งทำให้ความถี่ของการขนส่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกค้าสั่งซื้อสินค้าออนไลน์บ่อยครั้งต่อสัปดาห์
นอกจากการเพิ่มปริมาณการบรรทุกสินค้าในแต่ละเที่ยวการขนส่งแล้ว การสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดจากการขนส่งยังรวมไปถึงการลดจำนวนและระยะทางการวิ่งรถกลับเที่ยวเปล่า (Empty Backhauls) ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่สร้างอรรถประโยชน์ และยังปล่อยก๊าซพิษที่ส่งผลเสียต่อปัญหาโลกร้อน รวมถึงก๊าซที่เกิดจากสารทำความเย็นที่ถูกปล่อยมาจากอุปกรณ์สร้างความเย็นในรถบรรทุกสินค้าควบคุมอุณหภูมิ โดย Walmart ได้แก้ปัญหาการวิ่งรถกลับเที่ยวเปล่า โดยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการกระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกแล้ว Walmart จะให้รถบรรทุกไปรับสินค้าจากซัพพลายเออร์ก่อนตีรถกลับไปยังศูนย์กระจายสินค้า แทนการวิ่งกลับโดยไม่มีสินค้า ทำให้ในปี 2011 เมื่อรวมกับโครงการอื่น ๆ ในแผนกการขนส่งของบริษัท Walmart สามารถลดจำนวนการวิ่งรถกลับเที่ยวเปล่าได้ถึง 86,000 เที่ยว ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 4,878 ตัน
หรือกรณีการจัดการโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) ของ Costco ร้านค้าปลีกในรูปแบบการขายส่ง (Cash and Carry) ที่รวบรวมสินค้าที่ต้องส่งคืนซัพพลายเออร์ไปกับรถพ่วงที่ต้องวิ่งกลับไปที่คลังสินค้าหลักอยู่เเล้ว สำหรับประเทศไทย เทสโก้ โลตัส ได้เลือกใช้วิธีการลดรถวิ่งเที่ยวเปล่าด้วยการให้รถของตนเองวิ่งไปรับสินค้าที่ซัพพลายเออร์ไม่ว่าจะเป็นคลังสินค้าหรือโรงงานที่อยู่ในเส้นทางเดินรถจากสาขาต่าง ๆ ของเทสโก้ โลตัส ก่อนกลับมาที่ศูนย์กระจายสินค้า แทนที่การให้ซัพพลายเออร์มาส่งของที่ศูนย์กระจายสินค้าเอง ซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้น้ำมันและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้อย่างมาก ตามแนวทางการสร้างสมดุลด้านสิ่งแวดล้อมในประเด็น Zero Carbon




