โบรก ชี้ ผลดำเนินงานกลุ่มปตท.ฟื้นตัวจากความคาดหวังวัคซีนโควิด-19 หนุนความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น บล.หยวนต้า คาดกำไรทั้งกลุ่มพลิกกลับแตะ1.1 แสนล้านบาท โต 119%จากปีนี้ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท ด้านบล.ซีจีเอสซี-ไอเอ็มบี ประเมินราคาน้ำมันแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือน 2563 กลุ่มปตท.(6 บริษัท) ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP),บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC)บมจ.ไทยออยล์ (TOP),บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)ปรับตัวลดลง 79% อยู่ที่ 26,282 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 130,543 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลง ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมัน ค่าการกลั่น ส่วนต่างราคา(สเปรด)ปิโตรเคมีก็ปรับตัว
นายกิติชาญศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อยบล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานกลุ่มปตท.ไตรมาส4 ปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น (ยกเว้นPTTEP) เนื่องจากทุกกลุ่มธุรกิจของกลุ่มปตท.ฟื้นตัวเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2563 ราคาน้ำมันดิบและค่าการลั่นที่ปรับตัวดีขึ้น จากความคาดหวังวัคซีน และเข้าสู่ฤดูหนาว ขณะที่สเปรดปิโตรเคมีจากการบริโภคฟื้นตัวโดย เฉพาะจากจีน และการเลื่อนเปิดโครงการใหม่ที่เกาหลีใต้ และการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมีที่จีนและเกาหลีใต้ทำให้ซัพพลายตรึงตัว
สำหรับปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่43.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จกความคาดหวังวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น จากการเดินทางมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการขายและราคาขายปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับทำให้ไม่มีผลขาดทุนสต็อก
ด้านนักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า เฉพาะแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มปตท. ปี 2564 คาดจะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ โดยคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งกลุ่ม (ไม่รวมธุรกิจโรงไฟฟ้า) กลับมาแตะระดับแสนล้านบาท อยู่ที่ 1.16 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% จากปีนี้คาดอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรับประโยชน์จากต้นทุนราคาก๊าซที่ปรับตัวลดลง สวนทางราคาขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยคาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2564 ที่ระดับ 47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปี 2563 ที่ 42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นจากปีนี้ ประกอบกับได้รับอานิสงส์จากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคพลัส นอกจากนี้ บริษัทไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 ฟื้นตัวเด่น ประเมินกำไรสุทธิที่ 7.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วน PTTGC คาดว่าผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไร 1.1 หมื่นล้านบาท จากขาดทุน 4.9 พันล้านบาท ในปี 2563 โดยราคาขายผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นตามการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน รวมทั้งจะมีการเดินเครื่องโรงงานใหม่อีก 2 แห่ง หนุนกำลังการผลิตปี 2564 เพิ่มขึ้นอีก 10%
ด้านธุรกิจต้นน้ำของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ปี 2564 ยังอ่อนแอ ถูกกดดันจากราคาก๊าซที่อยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 2563 โดยประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท จาก 2.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2563
ส่วนธุรกิจโรงกลั่นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ยังไม่โดดเด่น กำไรปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำ ส่วนค่าการกลั่นฟื้นตัวอย่างจำกัด เพราะอุตสาหกรรมการบินยังซบเซาการจากระบาดของโควิด-19 กระทบปริมาณการกลั่นและยอดขายน้ำมันเครื่องบิน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นกลุ่มปตท. แนะนำ “ซื้อ PTT ให้ราคาเหมาะสมที่ 40 บาท และ PTTGC ราคาเหมาะสม 55 บาท ซึ่งได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และต้นทุนราคาก๊าซลดลง และแนะนำ “เก็งกำไร” PTTEP, TOP และ IRPC ราคาเหมาะสม 96 บาท, 46 บาท และ 2.60 บาท ตามลำดับ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจัยจากโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในยุโรปและสหรัฐ จะกดดันความต้องการใช้น้ำมันต่อเนื่องจนกว่าเริ่มมีการใช้วัคซีนกับคนหมู่มาก ซึ่งคาดว่าจะกินระยะเวลาครึ่งปีแรก 2564 ทำให้ราคาน้ำมันปี 2564 จะขยับขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ 42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 48-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งยังเป็นผลลบต่อธุรกิจน้ำมัน และโรงกลั่น
บวกกับปัจจุบันซัพพรายในตลาดโลกที่มีจำนวนมาก จากตัวเลขสิ้นเดือนต.ค. ตลาดสิงคโปร์อยู่ที่ 15 ล้านบาร์เรล สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีเกือบ 30 % และยังมีประเทศนอกกลุ่มโอเปค เช่น ลิเบีย ที่ขึ้นกำลังผลิตเป็น 1.1 ล้านบาร์เรล ยิ่งกดดันต่อราคาน้ำมันและเป็นที่มาทำให้กลุ่มโอเปคเลื่อนการเพิ่มกำลังผลิตเพิ่มออกไปอีก 3-6 เดือน