โควิด-19 ทุบ ‘AWC’ ไตรมาส3 ขาดทุนอ่วม

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ไตรมาส3 และ9เดือนแรกปีนี้ขาดทุนหนักเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุปิดกิจการโรงแรมและที่ให้เช่า เพื่อจำกัดผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ย้ำธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดแล้วหลังพบสัญญาณกำไรไตรมาส3เทียบไตรมาสก่อนหน้าฟื้นตัว เพิ่มขึ้น 29.3%และมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)หรือ AWC เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/63 ขาดทุนสุทธิ 620.43 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.019 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 185.79 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.008 บาท
ขณะที่งวด9 เดือน ปี2563 ขาดทุนสุทธิ 1.38 พันล้านบาท และขาดทุนสุทธิต่อหุ้น0.043บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 517.45 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น0.022บาท
ทั้งนี้ AWC มีผลขาดทุนสำหรับไตรมาส3/2563 และงวด9เดือนของปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้น ผู้บริหารจึงได้ตัดสินใจที่จะปิดการให้บริการโรงแรมและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการการค้าที่ให้เช่าส่วนใหญ่เป็นการชั่วคราวเพื่อจะจำกัดผลกระทบดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและส่วนงานราชการหลายจังหวัดที่ทยอยมีคำสั่งให้ปิดสถานประกอบการหรือลดเวลาประกอบกิจการเป็นการชั่วคราวเริ่มต้นในเดือนมีนาคม 2563
แต่หากหากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าพบว่า ในไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้น 29.3 % นับได้ว่าบริษัทได้ผ่านช่วงที่ได้รับผลกระทบสูงที่สุดจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ไปแล้ว และมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ
เช่นเดียวกับรายได้รวมไตรมาส 3/2563อยู่ที่1,225ล้านบาทและ9เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่4,488 ล้านบาท ลดลง61.9%และ54.7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หากพิจารณาจากพอร์ตทรัพย์สินดำเนินงานของบริษัท พบว่า บริษัทมีรายได้ในไตรมาส 3/2563 อยู่ ที่ 1,281 ล้านบาทและ 9เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 4,644 ล้านบาท ลดลง 58.9% และ51.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจกยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติยัไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศได้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า (Retail)
สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercia) ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง แม้อยู่ในสถานการณ์โควิด-19 ตอกย้ำถึงประโยชนจกกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต ทรัพย์สินของบริษัท (Well Diversified) ซึ่งทำให้บริษัทสามารถลดความผันผวนของระดับรายได้
อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) พบว่ารายได้รวมของบริษัทในไตรมาส 3/2563ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 63.5%แสดงให้เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของรายได้รวม
บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความหลากหลายของพอร์ตฟอลิโอและสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งการเดินทางเพื่อธุรกิจ และการพักผ่อนหย่อนใจ โดยในเดือนส.ค.ที่ผ่านมานี้ บริษัทร่วมลงนามกับแมริออท อินตอร์เนชั่นแนล เดินหน้าแผนพัฒนาโรแรมและสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟิสไตล์
ด้วยการนำ 3 แบรนด์โรงแรมระดับโลกประกอบด้วย แบรนด์ริทซ์-คาร์ลตัน รีเสิร์ฟ แบรนด์เจดับบลิว แมริออท มาร์ดีส และแบรนด์ออโตกราฟ คอลเลคชัน มาสู่ย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ และริมชายหาดพัทยา เป็นการสรางโครงการแลนด์มาร์คใหม่อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแบรนด์โรงแรมระดับโลก และนำนวัตกรรมที่ล้ำสมัยมาสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน
ต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งมั่นพัฒนาเพิ่มศักยภาพและโอกาสให้ธุรกิจท่องเที่ยวไทยสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มใหม่ที่หลากหลายเช่น นักท่องเที่ยวกลุ่มสุขภาพ ( Wellness) และนักท่องเที่ยวกลุ่มพำนักระยะยาว (Long Stay) โดยบริษัทได้นำแนวคิดเชิงสุขภาพ (Wellness) เข้าไปใช้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทของบริษัท ซึ่งแนวทางดังกล่าวยังสอดรับมาตรการภาครัฐ ที่ได้อนุมัติการปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางมาพำนักระยะยาว (Long Stay) ภายในประเทศไทย โดยเริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นกลุ่มแรกช่วงเดือนตุลาคม
โดยบริษัทได้เตรียมมาตรการเพื่อให้บริการแก่กลุ่ม เป้าหมายภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านต่างๆ ในทุกโครงการ โดยทำงานร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รวมไปถึงการให้บริการปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ (Tele Medicine) ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการโรงแรมในเครือของบวิษัท ได้ตลอดตามระยะเวลาที่อาศัยในประเทศไทย







