ชำแหละพื้นฐาน 'เอสไอซีที' หุ้นไอพีโอ 4 ซิลลิ่ง

ชำแหละพื้นฐาน 'เอสไอซีที' หุ้นไอพีโอ 4 ซิลลิ่ง

ตลาดไอพีโอในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ลดความร้อนแรงลงไปพอสมควร โดยหุ้นไอพีโอตัวสุดท้ายที่สามารถเปิดการซื้อขายที่ระดับราคาเพดาน (Ceiling) หรือเพิ่มขึ้น 200% ในวันแรก คือ บมจ.อาฟเตอร์ ยู (AU) ที่เข้าเทรดตั้งแต่ปลายปี 2559

ก่อนที่ บมจ.ซิลิคอน คราฟท์ (SICT) หุ้นไอพีโอตัวล่าสุดที่เข้าเทรดเมื่อ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา จะวิ่งขึ้นชนเพดานได้อีกครั้ง

ความร้อนแรงของ SICT ไม่ได้หยุดอยู่แค่วันแรก แต่ในอีก 3 วันทำการถัดมา ราคาหุ้นยังคงเปิดกระโดดขึ้นแตะซิลลิ่งของแต่ละวันอย่างง่ายดาย ทำให้ราคาหุ้นล่าสุดที่ 6.25 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาไอพีโอที่ 1.38 บาท มาแล้วถึง 352% ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการปรับลดระดับซิลลิ่งจาก 30% มาเหลือ 15% ในขณะนี้

จากข้อมูลบริษัท ปัจจุบัน SICT มีธุรกิจหลัก 3 ด้าน คือ ไมโครชิพสำหรับระบบลงทะเบียนสัตว์ โดยมากจะอยู่ในรูปของ Ear Tag เพื่อติดตามข้อมูลของสัตว์เศรษฐกิจต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 41.88% ถัดมาคือ ระบบไมโครชิพสำหรับระบบเข้า-ออกสถานที่และอ่านข้อมูล คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 31.57% และสุดท้ายคือ ระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 25.30%

จุดเด่นที่สำคัญของ SICT คือ การเป็นผู้ส่งออกไมโครชิพระบบ RFID รายเดียวในประเทศไทย ขณะที่คู่แข่งทั่วโลกมีเพียง 8 ราย ใน 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และจีน

ด้วยกำไรของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2563 ที่ทำได้ 15.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 2.4 ล้านบาท โดยหลักเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้กลุ่มไมโครชิพสำหรับระบบกุญแจสำรองอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ หลังสงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย และลูกค้าบางรายเร่งให้จัดส่งสินค้าที่เป็นคำสั่งซื้อของไตรมาส 2 ปี 2563 เพื่อ      เตรียมสต็อกให้เพียงพอจากผลกระทบของโควิด-19

เมื่อย้อนดูผลประกอบการ 12 เดือนย้อนหลัง ทำให้ราคาไอพีโอของ SICT ที่ 1.38 บาท คิดเป็นค่า P/E เพียง 14.66 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ย P/E ของตลาดเอ็ม เอ ไอ และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อยู่ที่ 23 เท่า และ 27 เท่า ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาหุ้นทำให้เกิดข้อสงสัยว่าผลประกอบการของบริษัทจะเติบโตได้ทันหรือไม่ และเมื่อพิจารณาจากราคาเหมาะสมของนักวิเคราะห์ อย่าง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แลนด์แอนเฮ้าส์ ต่างประเมินราคาสูงสุดไว้ที่เพียง 2 บาท ขณะเดียวกัน ณ ระดับราคาปัจจุบัน ดูเหมือน SICT อาจจะไม่ใช่หุ้นถูกอีกต่อไป ด้วย P/E ที่พุ่งขึ้นมาสูงกว่า 60 เท่า

บล.ทิสโก้ ระบุว่า เนื่องด้วยธุรกิจของ SICT เป็นธุรกิจที่หาตัวเปรียบเทียบได้ยากการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมเบื้องต้นของเราจึงเลือกใช้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี (MAI) เป็นตัวเปรียบเทียบแทน โดยมีค่ากลาง (Median) ที่ประมาณ 15.6 เท่า และค่าเฉลี่ย (Mean) ที่ 19 เท่า และหากใช้เป้าหมายการเติบโตเป็นเท่าตัวภายใน 4 ปีของผู้บริหาร จะคิดเป็นการเติบโตประมาณ 15% ต่อปี มูลค่าที่เหมาะสมเบื้องต้นจะอยู่ที่ 1.70 – 2.00 บาท

ส่วน บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ประเมินว่า บริษัทมีรายได้ปีนี้แน่นอนแล้ว 225.5 ล้านบาท จาก Backlog ในมือ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 130.3 ล้านบาท ส่วนทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้ 334 ล้านบาท เติบโต 8% จากไมโครชิพสำหรับระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ และไมโครชิพสำหรับแท็กลงทะเบียนสัตว์ และกำไรสุทธิน่าจะอยู่ที่ 33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.8% ในปีนี้ ก่อนที่จะเติบโต 23.4% ในปี 2564

ขณะที่แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ มองว่า หากพิจารณาจากผลประกอบการที่ผ่านมาของ SICT ยังทำได้ไม่ค่อยสม่ำเสมอนักในแต่ละไตรมาส และเมื่อพิจารณาข้อมูลโครงการในอนาคตและแนวโน้มการเติบโตที่ผู้บริหารให้เป็นแนวทางไว้ในช่วงไอพีโอก่อนหน้านี้ ยังไม่เห็นว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ทันกับราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาในระดับนี้

ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่นักลงทุนน่าจะคาดหวังจาก SICT ในช่วงต่อจากนี้ คือ ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ควรจะเติบโตได้อย่างโดดเด่น หรือมีปัจจัยหนุนอื่นๆ เข้ามาทำให้การพุ่งขึ้น 4 ซิลลิ่ง สมเหตุสมผลมากขึ้น เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้เห็นแรงขายทำกำไรออกมาหลังจากนี้