KTC - ถือ

KTC - ถือ

ภาวะผ่อนคลายมาตรการเป็ นผลบวกแค่ระยะสั้น

Event

ประมาณการ 1Q63F

lmpact

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมจะกดดัน yield

ตามที่ ธปท. แนะนำให้ธนาคาร และสถาบันการเงินประเภท non-bank ดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ KTC ก็ปฏิบัติตามคำแนะนำ โดย 1.) ลดยอดชำระขั้นต่ำรายเดือนสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตลงเหลือ 5%(จากเดิม 10%) 2.) เลื่อนกำหนดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล 3.) เตรียมลดดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคลเป็น 22% (จาก 28%) และสินเชื่อบัตรเครดิตเป็น 12% (จาก 18%) โดยให้มีผลตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน หรือ ต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งโครงการนี้จะพิจารณาใช้กับลูกหนี้เป็นรายกรณี โดยให้ความสำคัญกับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก Covid-19 แต่อย่างไรก็ตาม โครงการนี้กำหนด
เงื่อนไขว่าลูกหนี้ที่ขอเข้าโครงการจะต้องปิดสัญญาเดิมก่อน และทำสัญญาใหม่ที่มีการกำหนดยอดผ่อนค่างวดใหม่ โดยลูกหนี้จะขอกู้เพิ่มอีกไม่ได้ถ้าหากยังไม่ปิดสัญญากู้ฉบับใหม่นี้ก่อน

... yield ที่ลดลงอาจจะกระทบกำไรประมาณ 4%

KTC เผยว่าเคยทำโครงการช่วยลดดอกเบี้ยนี้มาแล้วในช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ซึ่งในช่วงนั้นมีลูกค้าแค่ไม่ถึง 10% ของฐานลูกค้าทั้งหมดที่ยื่นขอเข้าโครงการ ทั้งนี้ เพื่อประเมินแรงกดดันต่อ yield เราจึงได้ทำการวิเคราะห์ sensitivity ของสัดส่วนลูกค้าที่จะยื่นขอเข้าโครงการระหว่าง 5-30% และพบว่าเมื่อ
มีลูกค้าขอเข้าโครงการเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5% จะทำให้กำไรลดลง 2% ซึ่งหากอาศัยข้อมูลในอดีตเราใช้ความเป็นไปได้ที่จะมีจำนวนลูกค้า 10% เข้าโครงการและทำให้กำไรน่าจะลดลง 4% (เริ่มส่งผลตั้งแต่ 2Q63 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ฐานลูกค้าบัตรเครดิตทั้งหมดมีประมาณ 2.0 ล้านบัญชี และเงินกู้บุคคล 1 ล้านบัญชี

คาดว่ากำไรสุทธิใน 1Q63F จะอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท (+23% QoQ, +2% YoY)

เศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอจะหนุนให้สินเชื่อขยายตัวได้ถึง 10% YoY แต่เราคาดว่าจะไปกดดันให้รายได้จากการติดตามหนี้เสียลดลงอย่างมากถึง 26% YoY ใน 1Q63F แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนยอด write-off หนี้เสียทำให้ค่าใช้จ่ายในการกันสำรองลดลงอย่างมากและหนุนให้กำไรเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ
YoY

ประเมินราคาเป้าหมายที่ 41.25 บาท (P/E 16.0x)

ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2Q63 จะทำให้ผลการดำเนินงานของ KTC ผันผวนจากกระแส NPL เกิดใหม่และการตั้งสำรอง ติดตามหนี้เสียได้น้อยลง และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งนี้ หลังจากที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาแรงในช่วงหลังนี้ เราจึงอยากให้รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และแนะนำให้ ถือ โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2563F ที่ 41.25 บาท (P/E ที่ 16x เท่ากับค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง)

Risks

Yield ลดลง รายได้จากการติดตามหนี้เสียลดลง NPL เพิ่มขึ้น และยอดกันสำรองเพิ่มขึ้น