ต่างชาติเทขายหุ้น-บอนด์ กว่า 1.2 หมื่นล้าน กดดัน “เงินบาท” อ่อนค่ามากสุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค นักวิเคราะห์ ชี้ผลจากสภาพคล่องโลกที่ลดลง หลัง “อีซีบี” หั่นคิวอีพร้อมเตรียมยุติในปลายปีนี้ ฉุดความน่าสนใจในตลาดเกิดใหม่
สกุลเงินเอเชียวานนี้(15มิ.ย.) ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่ ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ประกาศยุติคิวอีหรือแผนการซื้อพันธบัตรครั้งใหญ่ภายในสิ้นปีนี้ ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์เทียบสกุลเงินสำคัญ 6 สกุล ปรับขึ้นราว 0.2% สู่จุดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ ที่ 94.973 หลังจากที่ทะยานขึ้นมากกว่า 1% ในวันก่อน
นอกจากนี้ นักลงทุนที่ทำการซื้อขายสกุลเงินในภูมิภาค ยังรอการบังคับใช้ภาษีของสหรัฐต่อจีน
เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐระบุเมื่อวานนี้ว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐตัดสินใจบังคับใช้ภาษีนำเข้าสินค้าจีน “ครั้งสำคัญ” ขณะที่จีนเตือนว่า พร้อมจะตอบโต้หากสหรัฐเลือกที่จะเพิ่มความตึงเครียดทางการค้า
“นักลงทุนรอดูความคืบหน้าด้านการค้าสหรัฐ-จีน ก่อนที่จะแสดงท่าทีเกี่ยวกับสกุลเงิน” นักวิเคราะห์กล่าว
“แต่ในขณะที่ดอลลาร์ปรับขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ของ G-10 ก็จะบ่งชี้ว่า สกุลเงินเอเชียจะปรับตัวย่ำแย่ในช่วงนั้น”
สำหรับเงินบาทไทยวานนี้ อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก โดยปิดตลาดที่ระดับ 32.41 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับราคาปิดวันก่อนที่ 32.15 บาทต่อดอลลาร์ คิดเป็นการอ่อนค่าลงเกือบ 1% นับเป็นสกุลเงินที่่อ่อนค่าลงมากสุดเป็นอันดับ 2 รองจากเงินวอน ที่วานนี้อ่อนค่าลงประมาณ 1.3%
การอ่อนค่าลงของเงินบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกจากตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้รวมกันกว่า 12,000 ล้านบาท ในวานนี้ โดยนักลงทุน ต่างชาติขายสุทธิในตลาดบอนด์ ราว 4,558 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดหุ้น 7,468 ล้านบาท ส่งผลให้เดือนมิ.ย.นี้นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิในตลาดหุ้นรวมประมาณ 31,387 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิในตลาดหุ้นรวมกว่า 162,813 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ยังมีแรงขายในตลาดตราสารหนี้วานนี้อีกประมาณ 4,558 ล้านบาท
สภาพคล่องโลกหดเงินไหลออก
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วของเงินบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากประเทศไทยด้วย หลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% และ ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ประกาศยุติมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ(คิวอี) ลงในสิ้นปีนี้ ทำให้สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกหายไป ขณะที่นักลงทุนเริ่มมองว่า ไทย อาจไม่ใช่เป้าหมายแรกๆ ในการลงทุน
“สภาพคล่องโลกที่ลดลง ทำให้ความน่าสนใจลงทุนในตลาดเกิดใหม่เริ่มลดลง ซึ่งก่อนหน้านี้หลายประเทศเผชิญภาวะเงินทุนไหลออกและทำให้ค่าเงินอ่อนลง แต่ของไทยในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่มีแรงกดดันในส่วนนี้มากนัก ถ้าดูค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นเดือนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ได้อ่อนค่าลงเท่าไรเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ดังนั้นการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้จึงเป็นลักษณะไล่ตามสกุลเงินอื่นในภูมิภาคที่อ่อนลงไปก่อนหน้านี้แล้ว”
3ปัจจัยกดดันเงินบาทอ่อนต่อ
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทระยะสั้นยังมีโอกาสอ่อนค่าลงต่อเนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้และมีผลต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นด้วย 2.ตลาดการลงทุนทั่วโลกปิดรับความเสี่ยง จึงเริ่มมีแรงขายออกมาในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย และ 3. ต้นทุนที่สูงขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้ประเทศที่กู้เงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชีย โดนผลกระทบจากกรณีดังกล่าว
โบรกห่วงต่างชาติขายต่อเนื่อง
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า แรงขายของต่างชาติที่ทยอยออกมาต่อเนื่อง เชื่อว่าเป็นผลมาจากแรงกดดันของปัจจัยภายนอกประเทศ หลังดูเหมือนทิศทางสภาพคล่องโลกเริ่มเปลี่ยนจากภาวะการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการลดขนาดมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติต้องมีการเร่งปรับพอร์ตและทำให้เห็นภาพทิศทางฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดประเทศเกิดใหม่เพื่อไหลกลับไปยังตลาดพันธบัตรสหรัฐที่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น
โบรกคาดเงินร้อนไหลออก
ทั้งนี้เชื่อว่าเงินที่ไหลออกไปส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนักลงทุนระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนระยะกลางและยาวอาจมีการขายเพื่อปรับพอร์ตออกมาบ้าง ประกอบการดัชนี MSCI ที่มีการปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนเข้าไปคำนวณในดัชนีก็อาจมีผลให้น้ำหนักหุ้นไทยลดลงไปบ้าง แต่โดยรวมคาดว่านักลงทุนต่างชาติไม่น่าจะทิ้งหุ้นไทยไปเลย
ขณะที่คาดว่าทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะยังมีสัญญาณไหลออกอยู่ เนื่องจากมีปัจจัยกดดันจากปัจจัยเรื่องทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯที่ผลักดันให้เงินต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง และสงครามการค้าของสหรัฐและจีน ซึ่งน่าจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่มีผลเรื่องการค้าหรือการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แต่อาจกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนด้วย