‘เศรษฐกิจสีน้ำเงิน’ โอกาสและความท้าทายของไทย
ผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าทางด้านทะเล ร่วมประชุมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ครั้งแรกในภูมิภาค หวังเตรียมความพร้อมสร้างโอกาส ลดความท้าทายเศรษฐกิจทางทะเล มูลค่าล้านล้าน
เมื่อวันที่ 14-15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะร่วมกับงานหุ้นส่วนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลในเอเชียตะวันออก (PEMSEA) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) จัดการประชุม “เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy Forum) : เวทีระดมผู้เชี่ยวชาญเพื่อหารือสถานภาพทะเลในเอเชียตะวันออก” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนแวนชั่น กรุงเทพฯ ประเทศไทย
โดยมี ดร. วิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม Mr. Stephen Adrian Ross ผู้อำนวยการ PEMSEA ศ.นพ. สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย รศ.ดร.ชนาธิป ผาริโน ผู้อำนวยการฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะสกว.และ ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย รวมถึงนักวิจัย ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ เอกชน ให้เกียรติเข้าร่วมการประชุม
โอกาสนี้ ศ.นพ. สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ กล่าวถึงการประชุมเพื่อหารือสถานภาพทะเลในเอเชียตะวันออกว่า ปัจจุบันสังคมไทยได้มีการกล่าวถึง เศรษฐกิจสีน้ำเงิน หรือ บลู อีโคโนมี (Blue Economy) มากขึ้น และเป็นแนวคิดที่มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาทางทะเลและชายฝั่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีหลายองค์การระหว่างประเทศหลายองค์กรร่วมเป็นภาคี อาทิ องค์การสหประชาชาติ (United Nations) กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) และหลายประเทศให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีนำเงิน
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจ และองค์ความรู้เรื่องเศรษฐกิจทางทะเล หรือ เศรษฐกิจที่อาศัยทรัพยากรทางทะเลเป็นฐานของการพัฒนา ภายใต้ประเด็นที่ทั่วโลกตื่นตัวและให้ความสนใจ เพราะเกี่ยวพันถึง “เศรษฐกิจและความมั่นคง” อย่างไรก็ดี สกว.ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการวิจัย ได้สนับสนุนชุดโครงการวิจัยกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการทั้งสิ้น 6 โครงการประกอบด้วย 1.โครงการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของระบบป่านิเวศของประเทศไทย 2.โครงการศึกษาการพัฒนาศักยภาพตามแนวเศรษฐกิจสีน้ำเงินของจังหวัดตามแนวชายฝั่งทะเลของประเทศไทย 3.โครงการพัฒนาระบบบัญชีเศรษฐกิจทางด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (SEEA-Blue Economic) 4.โครงการศึกษาเขตเศรษฐกิจสีน้ำเงินของประเทศไทย 5.โครงการศึกษาข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ.1982 และ 6.โครงการศึกษาสถานภาพและผลกระทบของพันธกรณีระหว่างประเทศต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงิน : กรณีท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน
“สำหรับโครงการวิจัยทั้ง 6 โครงการ สกว.หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเกิดองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งในส่วนที่เป็นข้อมูล หรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านการบริหารจัดการผลประโยชน์ทางทะเลต่อการจัดทำร่างประกอบนโยบายแห่งชาติทางทะเลของประเทศไทย แก่ผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ และภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างองค์กร และภาคส่วนต่างๆ เพราะเศรษฐกิจสีน้ำเงินของไทยจะก้าวไปได้ จะต้องอาศัยความร่วมจากรัฐและเอกชนต้องเห็นโจทย์ และเข้าใจให้ตรงกัน จึงจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้” ผู้อำนวยการ สกว.
ประเด็นเดียวกันนี้ ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ วิเคราะห์มุมมองที่น่าสนใจ ในส่วนของนักวิชาการที่ทำวิจัย โดยสังเขป ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีภูมิศาสตร์ทางทะเลที่ดี เพราะไทยมีพื้นที่ติดทะเล 2 ข้าง คือ อ่าวไทย และทะเลอันดามัน ที่มีชายฝั่งทะเลครอบคลุม 23 จังหวัด ระยะทางเกือบ 3,000 กิโลเมตร แบ่งเป็น ชายฝั่งทะเลภาคตะวันตก ด้านอ่าวไทย 544 กิโลเมตร และชายฝั่งทะเลภาคใต้ ด้านตะวันตกของอ่าวไทย 1,334 กิโลเมตร และชายฝั่งตะวันตก ด้านทะเลอันดามัน 937 กิโลเมตร ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน
“หากประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทย โดยรวมทั้งหมดของทุกกิจกรรมที่เกิดรายได้นั้นมีมูลค่ามากถึง 11 ล้านล้านบาท (รายงานเมื่อปี 2015) ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ถือ ว่าสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย ขณะที่มูลค่าโดยรวมของโลกอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านดอนลาร์สหรัฐ และเพื่อให้เกิดมูลค่าทางด้านเศรษฐกิจที่แท้จริง จะต้องมีการประเมินตนทุนในส่วนที่เป็นทรัพยากรทางทะเล ซึ่งนี้จึงเป็นที่มาของการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการวิจัยเรื่องเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ตามประเด็นต่างๆที่มีความเกี่ยวเนื่อง” ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม กับเรื่องนี้ ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ เสนอแนะว่า ในการจัดทำแผนความมั่นคงทางทะเลของไทย ควรที่จะต้องตอบโจทย์ในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องครอบคลุมเศรษฐกิจประเทศไทย 2.จะต้องมีมาตรการสนับสนุนกิจกรรมเศรษฐกิจของเอกชน 3.จะต้องมีกระบวนการเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนที่ชัดเจน เป็นต้น
อนึ่ง การประชุมสองวัน เป็นการแลกเปลี่ยนถึงบทบาทที่มีความสำคัญของมหาสมุทรและระบบนิเวศทางทะเลที่มีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงสวัสดิการของสังคมและการฟื้นตัวของภูมิภาค ตลอดจนศักยภาพสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงินในภูมิภาคทะเลในเอเชียตะวันออก ทั้งในส่วนของการอภิปรายประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจากมหาสมุทร และบริการจากระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ความเสี่ยง และภัยคุกคาม นโยบายที่ตอบสนอง และการริเริ่มใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน
ขณะเดียวกัน การประชุมยังเปิดโอกาสให้มีการนำเสนอสาระสำคัญที่จะสื่อสารไปยังผู้ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย โดยมี Prof. Alistair McIlgorm ศาสตราจารย์จาก University of Wollongong ประเทศออสเตรเลีย ดำเนินการอภิปราย และมี Melanie Austen, Head of Science: Sea and Society, Plymouth Marine Laboratory, จากสหราชอาณาจักร และมีผู้แทนจากประเทศต่างๆ ได้แก่ กัมพูชา จีน อินโดนีเชีย เกาหลีใต้ และมาเลเซีย นำเสนอรายงาน SOC Reports ของแต่ละประเทศ
รวมถึงการประชุมในหัวข้อ “Making It Happen: Blue solutions for protecting ocean health and communities” การประชุมในช่วงดังกล่าวจะฉายภาพให้เห็นถึงการริเริ่มใหม่ๆ ในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การจัดการกับปัญหามลพิษ และชี้ให้เห็นปัญหาการทำลายทรัพยากรและการประมงเกินขนาด ซึ่งสะท้อนความจำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนที่ 14 (SDG 14) ซึ่งแต่ละประเด็นจะนำไปสู่การกำหนดนโยบาย เพื่อสร้างโอกาสและความท้าทายของไทยต่อไป