XO - ถือ

XO - ถือ

กำไร 2Q60 +QoQ แต่-YoY จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับประมาณการลง

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

  • รายงานกำไร 2Q60 ที่ 15 ล้านบาท +8%QoQ แต่ -48%YoY จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น : รายได้หดตัว 3%YoY สู่ 227 ล้านบาทหดตัวลงจากยอดขายน้ำผลไม้ที่ลดลงเนื่องจากคู่ค้าอยู่ระหว่างเคลียสินค้าคงเหลือที่ได้สั่งซื้อไปก่อนหน้านี้ โดยผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสและน้ำจิ้มยังคงสร้างรายได้หลักราว 73% ของรายได้รวม ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจาก 27.2% ใน 1Q60 สู่ระดับ 32.3% เนื่องจากมีการลดค่าใช้จ่ายพนักงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างโรงงานใหม่และโรงงานเก่า ด้านค่าใช้จ่ายในการบริหารปรับตัวขึ้น 3.61 ล้านบาทจากไตรมาสก่อนสู่ระดับ 37.9 ล้านบาท เนื่องจากโรงงานใหม่มีพนักงานสายงานบริหารเพิ่มขึ้น  นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายภาษีปรับตัวขึ้นหลังบริษัทแจ้งยกเลิก BOI โรงงานเดิม  ส่งผลให้บริษัทมีกำไร 2Q60 ที่ 15 ล้านบาท +8%QoQ แต่ -48%YoY และกำไร 1H60 อยู่ที่ 30 ล้านบาท -54%YoY และคิดเป็นเพียง 35% ของประมาณการเดิม
  • ผู้บริหารเตรียมปรับเป้ารายได้ปี 63 ลงจาก 1.5 พันล้านบาทหลังโรงงานใหม่ยังติดปัญหา : โรงงานใหม่ยังคงมีปัญหาด้านการใช้กำลังการผลิตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยใน 2Q60 ใช้กำลังการผลิตเพียง 31% ทำให้บริษัทต้องแบกรับค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นไตรมาสละ 7 ล้านบาทจากโรงงานแห่งใหม่ โดยผู้บริหารคาดว่าโรงงานแห่งใหม่จะถึงจุดคุ้มทุนเมื่อใช้กำลังการผลิตที่ราว 65-70% ซึ่งต้องใช้เวลาการขยายตลาดอีกราว 2 ปี (สมมติฐานการเติบโตผลิตภัณฑ์ซอสและน้ำจิ้ม 20% จากฐานรายได้ที่ 400 ล้านบาทต่อปี) อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนระหว่างโรงงานเก่าและโรงงานใหม่ทำให้ต้นทุนในการบริหารปรับตัวขึ้น
  • ปรับประมาณการกำไรปี 60 และ 61 ลง 12% และ 20% จากประมาณการเดิม : ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 60 และ 61 ลงจาก 86 ล้านบาทและ 114 ล้านบาทเหลือ 77 ล้านบาทและ 92 ล้านบาท ลดลง 12% และ 20% ตามลำดับ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น 1H60 ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 32% และค่าใช้จ่ายในการบริหารยังทรงตัวในระดับสูงจากการเพิ่มจำนวนพนักงานหลังเปิดโรงงานแห่งใหม่ อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนระหว่าง 2 โรงงาน อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/60 เพราะคาดว่าบริษัทจะทยอยย้ายฐานการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่ทำให้มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น อีกทั้งค่าใช้จ่ายภาษีมีแนวโน้มลดลงเพราะโรงงานใหม่ได้รับ BOI จนถึงปี 2567
  • ปรับคำแนะนำเหลือ “ถือ” พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 61 ที่ 5.46 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี PEG Ratio โดยคำนวณอัตราเติบโตปี 61 ได้ 21% และประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 61 ได้ราว 0.26 บาท ได้ราคาเหมาะสมใหม่ 5.46 บาทเพิ่มขึ้นจากราคาเหมาะสมเดิมที่ 5.40 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาปิดล่าสุดเล็กน้อยจึงปรับคำแนะนำจาก “ซื้อสะสม” เป็น “ถือ”

ความเสี่ยง

-การขยายตลาดไปยังต่างประเทศล่าช้า

-ไม่สามารถย้ายฐานการผลิตจากโรงงานเก่ามายังโรงงานใหม่ได้ตามคาด