Happenn ผู้ช่วยอัจฉริยะงานอีเวนท์

Happenn ผู้ช่วยอัจฉริยะงานอีเวนท์

สตาร์ทอัพจะเน้นเติบโตให้ได้เป็น 10X แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้อยากให้ฐานขององค์กรและธุรกิจแน่นมากๆ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป

จากที่เรียนมาทางด้าน UX โดยตรง และประสบการณ์การทำงานกว่า 10 ปี ทำงานกับดิจิทัล เอเยนซี หลายแห่งในยุโรปจนวันหนึ่งเกิดความคิดที่อยากลุกขึ้นมาลองทำอะไรบางอย่างที่ท้าทายและตอบโจทย์กับตัวเองว่าการทำงานนั้นๆ จริงๆ แล้วมีข้อจำกัดในเรื่องใดบ้าง

“ก่อนหน้านี้ทำ Digital agency แล้วเห็นปัญหาลูกค้า มีบ้างที่ลูกค้าบอกว่ามีข้อจำกัดโน่นนี่ ทำให้รู้สึกว่าอยากลองทำเองบ้างเพื่อดูว่าจะมีข้อจำกัดในแบบที่เราเคยทำให้กับลูกค้าหรือไม่”

อภิรดี ศิริสมบูรณ์ CEO/ Co-founder เจ้าของธุรกิจ Startup บริษัท เดอะ ไวท์ เลเบิลส์ ผู้พัฒนา Application “Happenn” บอกถึงจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจออกจาก Comfort Zone ที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่กว่า 10 ปี มาลุยทำอะไรเล็กๆ ของตัวเองกับผู้ร่วมก่อตั้งอีก 2 คน คือ ภาวลิน ลิมทองชัย มาสะกี CMO /Co-founder และ อันเดรียส แบรย์ควิสท์ CTO/ Co-founder

อีกหนึ่งความตั้งใจและเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มคิดอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างมาจากการที่ได้เห็นการทำงานของออแกไนเซอร์ในต่างประเทศที่เอาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงาน ขณะที่มองกลับมาที่ตลาดในไทยยังมีการนำเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นเข้ามาสนับสนุนการทำงานค่อนข้างน้อย

“ในต่างประเทศเครื่องมือต่างๆ จะเบสิคมากสำหรับคนจัดงาน แต่ไทยยังไม่มี ก็เห็นว่าน่าจะดี โอกาสทางธุรกิจมีอยู่เยอะ”

ทำให้เริ่มมองว่า “ปัญหา” ดังกล่าวน่าจะเป็น “โอกาส” ที่ให้ Happenn เข้ามาทำงานตรงนี้

สิ่งที่ Happenn นำเสนอมาในแพลตฟอร์มที่มีโซลูชันเหมาะกับงานอีเวนท์นั้นๆ โดยเฉพาะ (White-label Platform) ทั้งการทําเว็บไซต์อีเวนท์เฉพาะสำหรับงานนั้นๆ ระบบการลงทะเบียน

รวมถึงการทำรีพอร์ต Live Report อาทิ จำนวนผู้เข้าชมงาน ใครบ้างที่เข้ามาร่วมกิจกรรม เป็นต้น ที่ช่วยให้ผู้จัดงานวัดหรือประเมินผลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำไปสู่การพัฒนางานต่อๆ ไปได้

จุดเด่นในการทําแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ให้งานอีเวนต์ที่เห็นได้เด่นชัด ในเรื่องของความรวดเร็ว สะดวก และการบริหารจัดการต้นทุน  

“เราช่วยออแกไนเซอร์ทำงาน อย่างเช่น บอกมาว่าต้องการแอพแบบนี้เราก็จัดให้ เราโพรไวด์แพลตฟอร์มให้ รวมถึงระบบลงทะเบียนออนไลน์

จากเดิมที่หากต้องพัฒนาแอพพลิเคชั่นเอง อาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ หรือมากกว่า แต่สำหรับเราเป็นแพลตฟอร์มที่พร้อมให้ใช้งานแค่ 2-3 วัน เท่านั้นซึ่งรวดเร็ว สะดวก และคอร์สก็ต่ำมาก เทียบกับพัฒนาเองเป็น 10 เท่า แถมยัง engage กับคนจำนวนมากได้ พร้อมกับมี Live Report อย่างละเอียด ที่ช่วยให้ผู้จัดงานวัดหรือประเมินผลได้อย่างรวดเร็ว”

ตั้งแต่วันแรกของการทำธุรกิจ Happenn วางตัวเองไว้เป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานในแบบ บีทูบี ให้บริการกับลูกค้าองค์กรเป็นหลัก โดยเน้นไปที่การตอบโจทย์การจัดงานยุคใหม่ที่เป็นองค์กรธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ ผู้จัดงานอีเวนท์ งานแสดงสินค้า และสัมมนา

แต่เมื่อลงสนามจริงก็ทำให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะทัศนคติของผู้จัดงาน ที่ยังคงยึดรูปแบบเดิมๆ เหมือนที่เคยทำมา

 “เราเริ่มไอเดียกันมาตั้งแต่ปี 2014 แต่พัฒนาเสร็จจริงๆ ก็เมื่อต้นปี 2016 เพราะเราเป็นแพลตฟอร์มค่อนข้างใหญ่ ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง

เพราะเรามีรีพอร์ตด้วยให้ผู้จัดงานวัดผล ได้รู้จักคนเข้างานมากขึ้น บางครั้งเค้าไม่รู้จัก ไม่มีเครื่องมือที่จะทำตรงนี้”

อภิรดี บอก “คิดว่าต้องใช้เวลาในการปรับทัศนคติ”  ที่ผ่านมาก็พบว่าได้รับการตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจำนวนลูกค้ากว่า 10 รายที่มองว่าเทคโนโลยีจะเข้าไปช่วยในการบริหารจัดการงาน และสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้

ถึงตอนนี้ อภิรดี มองการเติบโตของ Happenn ไว้ที่ 4-5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2016 ปัจจัยหลักมาจากการเป็นที่รู้จักในตลาดมากขึ้น และที่สำคัญคือ การ Repeat จากลูกค้าเก่า

อีกส่วนมาจากการรุกเข้าไปทำตลาดอินโดนีเซียตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ในพื้นที่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างอัตรการเติบโตให้กับธุรกิจ

และสุดท้าย ปัจจัยของการมีทีมงานที่ดี

“การมี Co-Founder ที่ดีมากๆ และทีมงานที่มีทัศนคติตรงกันเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำสตาร์ทอัพ ส่วนตัวให้ความสำคัญกับทีมมากๆ ถ้าทีมดีธุรกิจขยายได้

ทีมเรามี Co founder 3 คน รวมกับน้องๆ ในทีมก็เป็น 10 คนได้

เราเองจะดูในภาพรวม เน้นโปรดักท์ชั่นเยอะหน่อย ส่วนตูนที่เป็น CMO จะดูเรื่องการตลาด รวมถึงการ pitch งานต่างๆ ส่วนอีกคน CTO จะดูเรื่องเทคนิค ซึ่งแพลตฟอร์มของเราถือว่ามีความซับซ้อนก็จะเน้นในเรื่องนี้”

จากประสบการณ์การทำงานกับองค์กรใหญ่ในต่างประเทศทำให้ได้เห็นรูปแบบการทำงานที่หลากหลายจนถึงวันที่ต้องดีไซน์องค์กรขึ้นเอง อภิรดี บอก เน้นมากๆ ในเรื่องของ Flat Organization

ขณะที่การเลือกคนเข้ามาร่วมทีมก็สำคัญไม่แพ้กัน คนในทีมจะดูที่ทัศนคติที่ใกล้เคียงกันเป็นหลัก

“ไม่ได้เลือกคนที่เก่งที่สุด แต่ดูว่ามุมมองไปด้วยกันได้ เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร บรรยากาศการทำงานที่เน้นความสบายๆ แต่ในความสบายนี้เองจะให้ความสำคัญมากๆ กับคุณภาพของงานที่ออกมา

โดย Flat organization เป็นเรื่องที่ดี มีการให้อิสระในการทำงาน ให้อิสระน้องคิดงาน เราแค่ดูว่าโอเคมั้ยเท่านั้น และมองว่าเค้าเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของทีม และแบรนด์ Happenn”

ความท้าทายจากนี้สำหรับ อภิรดี มองที่ความยั่งยืนของธุรกิจ

“ความท้าทายคือความยั่งยืน เพราะสตาร์ทอัพ จะเน้นเติบโตให้ได้เป็น 10X แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้อยากให้ฐานขององค์กรและธุรกิจแน่นมากๆ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป

เพราะในตอนสร้างที่คิดแบรนด์ Happenn ขึ้นมา เราคิดว่าชื่อนี้จะไม่จำกัดเฉพาะเรื่องของอีเวนท์เท่านั้น แต่มองถึงการขยายไปทำงานในส่วนอื่นๆ ได้อีก อาทิ อาจจะไปทำ รีเทลก็ได้ เพราะเราเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถบิดไปทำอื่นๆ ได้อีก

ตัวอย่างเช่น ร้านค้าอาจจะอยากจะมีแอพของตัวเอง หรือ โปรโมชั่น ซึ่งงานพวกนี้ก็ถือเป็นอีกงานอีเวนท์เหมือนกัน ซึ่งขณะนี้เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น”