Taamkru ชวนเด็กไทยสตรอง

ประสบการณ์ตรงจากระบบการศึกษาจากสองฝั่ง “ไทย-อเมริกา” ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การศึกษาสหรัฐอมริกาที่ว่า “ดี” นั้น เป็นอย่างไร
การศึกษาไทย ที่ว่า “ไม่ดี” นั้นอยู่ที่ตรงไหน
“เปรียบเทียบง่ายๆ ผมเรียนมัธยมที่นี่ เวลาจะสอบวิชาเคมี ผมต้องนั่งท่องตารางธาตุให้ได้ แต่พอไปเรียนวิศวเคมีที่อเมริกา ผมเป็นคนเดียวในห้องที่ท่องเข้าไป เพื่อนคนอื่นๆ จะถือตารางธาตุเข้าห้องสอบ
แล้วผมก็จะได้คำถามว่า ท่องทำไม ท่องแล้วช่วยอะไรในชีวิตได้เหรอ ฝรั่งจะสอนให้เรียนอย่างเข้าใจ ส่วนไทยท่องไปเลย ผมจำได้ทุกตัวเลยสมัยนั้น แต่ก็แค่นั้น นี่คือเหตุผลที่ไทยได้เหรียญทองฟิสิกส์ โอลิมปิก แต่มีนักวิทยาศาสตร์ไทยชื่อก้องโลกสักกี่คน เราเก่งท่อง ติวไปสอบ แต่เอามาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ นี่คือข้อเสียของการศึกษาไทย” วิชานน์ มานะวาณิชเจริญ ซีอีโอ “ถามครู” กล่าว
เมื่อการพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนๆ ต่างก็เห็นตรงกันว่า อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาไทย
“เป็นเรื่องที่บ่นกันมานาน ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่ในจุดที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่พอได้เริ่มคิดที่จะทำ “ถามครู” คิดว่า รวมทีมกันได้แล้ว ยังหาทางแก้ไม่ได้ ก็คงไม่มีใครทำแล้ว”
นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ Taamkru แอพพลิเคชั่นด้านการศึกษา ในช่วงปี 2014
Taamkru ในเวอร์ชั่นแรก เน้นดีไซน์ให้เด็กระดับอนุบาลรู้สึกสนุกกับการเรียนจากแอพพลิเคชั่นที่สร้างขึ้น
เห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของเด็ก เวลาใช้งานแอพนี้ เมื่อเทียบกับ สื่ออื่นๆ อย่างเช่น เด็กทั่วไปไม่ชอบแบบฝึกหัดที่เป็นขาวดำ ส่วนแอพสามารถดูได้บนมือถือจะรู้สึกสนุก กว่าเพราะแอพจะโต้ตอบกับเด็กด้วยเสียงเจ้าของภาษา ทั้ง ไทย จีน อังกฤษ
“การที่เด็กได้ฟังเข้าหูในทุกๆ วันต่อให้ไม่สนใจก็จะเกิดการจดจำ แตกต่างจากหนังสือเป็นเล่มๆ”
วันนี้มีคนดาวน์โหลด 3 แสนคน จากจำนวนข้อสอบเชาว์ล้านกว่าข้อที่บรรจุเอาไว้ ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ โดยเน้นทักษะที่เด็กจำเป็นต้องใช้ในการเรียนรู้วิชาต่างๆ การคิดวิเคราะห์ที่เป็นเหตุและผล เมื่อเด็กมีทักษะส่วนนี้จะสามารถนำไปใช้ในการเรียนวิชาอะไรก็ได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
“อีกข้อดีของเราคือ สร้างโปรดักท์เสร็จเราจะ Test กับเด็กนักเรียนพันคนได้ทันทีที่โรงเรียน โดยไม่ต้องนั่งรอ ไม่ต้องนั่งเดา ว่าเด็กชอบมั้ย อะไรที่ชอบ อะไรที่ไม่ชอบ รวมถึงได้คุยกับผู้ปกครองเป็น 100 ครอบครัวจากนั้นก็เอากลับมาทำต่อ แล้วกลับไป Test เป็นอยู่อย่างนี้จนกว่าจะแน่นอน
ซึ่งก็ทำให้ในทุกๆ อาทิตย์ เราสามารถสร้าง prototype เวอร์ชั่นใหม่ๆ ออกมาได้เรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ผู้ปกครองแฮปปี้แล้วยอมจ่ายเงินจนเกิดเป็น Business ขึ้นมา”
จากเวอร์ชั่นแรก “ถามครู” ก็ได้พัฒนาในทีละขั้น ซึ่งแต่ละขั้นนั้นมุ่งไข “ปมปัญหา” ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
ผลจากการสำรวจพบว่า ทำอย่างไรให้เด็กเข้าถึงระบบ “ถามครู” ให้มากขึ้น จากที่เคยอยู่บนมือถือ ก็ปรับให้ใช้งานที่เป็น web based ได้ เพราะบางพื้นที่อาจมีข้อจำกัด
โรงเรียนแรกที่ “ถามครู นำระบบไปทดลองใช้ในโรงเรียนวัดคีรีวิหาร จังหวัดตราด ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่
ที่พบคือ ในปี 2013-2014 ผลการเรียนของโรงเรียนแห่งนี้อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ แต่ภายหลังนำระบบ “ถามครู” ไปใช้เต็มปีการศึกษาในปี 2015 ผลการเรียนโตกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ
“ทำให้เราเห็นว่า สิ่งที่เราก้าวมา ดีไซน์มา ไม่ฉาบฉวย แต่เกิดผลต่อการเรียนของเด็กจริงๆ ถ้าเป็นเด็กในกรุงเทพฯ พ่อแม่อาจพาไปติวพิเศษ ซึ่งทักษะพวกนี้ต่างจังหวัดไม่มีโอกาสได้เจอ แต่ในแอพเราทำตรงนี้ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่ภาคภูมิใจ และยังไม่มีแอพไหนในประเทศไทยทำได้”
จากแอพพลิเคชั่น วันนี้ “ถามครู” ทำอีกหลายอย่าง บนแนวคิดที่อยากพัฒนาการศึกษาที่กว้างกว่าเด็กอนุบาล
“จากนี้ ถามครู จุดเด่นจะไม่ใช่เนื้อหาอนุบาลอยางเดียว เราเปลี่ยนเนื้อหาให้เป็นระดับเด็กโตขึ้น สำหรับเด็กอนุบาลแล้ว เราถือว่าแน่น ส่วน ประถม กำลังขยับขึ้นมา อยู่ๆจะให้กระโดดไปในระดับมัยธมถือว่าไม่ง่าย มองว่าเราจะไปด้วยตัวเองไม่ทันแน่ๆ ในช่วง 1-2 ปีนี้ การได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นโรงเรียนกวดวิชาจะช่วยให้เราทำงานได้ดีกว่า
เพราะจุดมุ่งหมายหลัก เราต้องการเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้เด็กจริงๆ การร่วมพาร์ทเนอร์ครั้งนี้ทำให้เรากระโดดไปถึงระดับมัธยมได้ทันที”
ทำให้วันนี้ “ถามครู” สร้างแพลทฟอร์มที่ครอบคลุมทั้งในกลุ่มอนุบาล ประถม และมัธยม
นอกจากสร้างเนื้อหาให้ครอบคลุมทุกกลุ่มในวัยเรียนแล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่พบก็คือ “ครู” ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน อย่างเช่น การตรวจการบ้าน และข้อสอบ
“โรงเรียนไทย ปัญหาเรื่องครู เด็กเยอะเป็นเรื่องปกติ และครูอายุเยอะ ไม่มีเวลามานั่งเรียนรู้อะไรใหม่ บ้างก็ไม่เปิดใจ การที่เราจะเอาเทคโนโลยีไปให้เค้าใช้เลย มากกว่า 90% ที่เราเข้าไปไม่ได้ช่วย บางครั้งก็สร้างปัญหาให้กับครู
ทำให้ต้องเริ่มกลับมานั่งคิดใหม่ว่าอะไรบ้างที่เชื่อมโลก offline มาเป็น online มากขึ้นเพราะทุกวันนี้ แม้พยายามเปลี่ยนเด็กมาเป็นออนไลน์ สุดท้ายก็สอบบนกระดาษ สอบกลางภาค ปลายภาค โรงเรียนต้องหยุดทั้งสัปดาห์เพื่อให้ครูใช้เวลาในการตรวจข้อสอบ ซึ่งการตรวจข้อสอบโดยคนอาจจะมี error ได้”
เทคโนโลยีที่เป็นเครื่องใหม่ๆ และคิดเพื่อ “ครู” นั้น วิชานน์ ย้ำว่าง่ายในการใช้งาน และช่วยให้คุณครูสามารถลดเวลาส่วนนี้ แล้วนำเวลาไปใช้เพื่อการสอนเด็กในห้องเรียนมากขึ้น
“เราก็ให้ครูเอามือถือถ่ายข้อสอบหรือการบ้านโดยที่ไม่ต้องกดอะไร เปิดแอพแล้วถ่ายค้างไว้ จากนั้นเอกสารจะถูกสแกน ใช้เวลาไม่ถึงสองวินาทีจากนั้นจะส่งเข้าระบบแล้วส่งขึ้นคราวด์ทั้งหมด พร้อมกับประมวลผลให้ ซึ่งจากที่เอาไอเดียไปเสนอ แล้วทดลองทำให้ดู ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นที่โรงเรียนให้ความสนใจ เพราะไปช่วยในการทำงานจริงๆ แล้วเอาเวลาครูไปใช้เพื่อการสอนจะดีกว่า”
สิ่งที่ “ถามครู” มองว่าเป็นเรื่องที่ “ตื่นเต้น” และ “ท้าทาย” วิชานน์ บอก การขยายจาก อนุบาล ประถม และมัธยม จะทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของการเรียนในทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
“เรารู้สึกตื่นเต้นกว่าเดิมว่า 2 ปีนี้ จากอนุบาล จนถึงมัธยมที่เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย เราได้สร้างสิ่งที่ไม่มีกระทรวงศึกษายุคไหนทำได้มาก่อน เราเปลี่ยนแปลงโดยที่เด็กยังคงสนุกการเรียนได้” แม้จะรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำและเดินหน้าไปด้วยอุดมการณ์ที่แรงกล้า แต่ในระหว่างทางก็ต้องใส่ใจกับทุกรายละเอียด
นั่นเพราะ EdTech มันไม่ sexy กว่าจะเห็นผลก็ข้ามปี เมื่อเทียบกับสตาร์ทอัพกลุ่มอาจใช้เวลา 3-6 เดือนก็เห็นผลแล้ว
“แม้เราจะไม่หวือหวา แต่เห็นผลจริง ครูรู้จักเรา ทำให้รู้สึกว่า impact ซึ่งตรงกับสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกที่ต้องการสร้าง impact ให้กับการศึกษา ซึ่งวันนี้ก็ทำได้”
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ การทำ EdTech ต้องสายป่านยาวระดับหนึ่ง เพราะการขายโรงเรียน แม้จะสนใจโปรดักท์ตอนนี้ แต่กว่าจะจ่ายเงินได้ก็ต่อเมื่อเก็บค่าเทอมแล้ว รวมถึงการจะพาตัวเองเอาไปอยู่ในหลักสูตรโรงเรียนก็มีเรื่องที่ต้องปรับเยอะ
“ในแต่ละปี ขายได้ 2 รอบเท่านั้น คือ ต้นปีและปลายปี ดังนั้นในช่วงกลางปีต้องคิดว่าจะหมุนทรัพยากรอย่างไรให้สตาร์ทอัพยังไปต่อได้
นอกจากนี้ คนในระบบ(การศึกษาไทย) จะชินกับสิ่งที่ทำมา ๆ ความยากจึงไม่ได้อยู่ที่ โปรดัทก์ดีแล้วจะขายได้ แต่ต้องกระตุ้นให้เกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้
ผมว่า ทีมถามครูยังสนุกกับการสร้างอะไรที่เกิดผลจริงๆ และการศึกษาในไทยมีอะไรให้เล่นอีกเยอะ”







