'คลัง-ร.ฟ.ท.' ยุติแผนโอนที่ดินมักกะสันแลกหนี้

"คลัง-ร.ฟ.ท." ยุติแผนโอนที่ดินมักกะสันแลกหนี้ 6.1 หมื่นล้าน เหตุติดข้อกฎหมาย รอกฤษฎีกาตีความ “พิชิต” ระบุเป็นปัญหาใหญ่ขององค์กร
รัฐบาลมีการลงทุนระบบรางครั้งใหญ่ โดยหวังว่าระบบรางจะเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงและการพัฒนาระบบราง แต่ปรากฏว่าการฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ยังเป็นไปอย่างล่าช้า ขณะที่รัฐบาลหวังจะให้เข้ามารองรับการพัฒนาที่เกิดขึ้นในอนาคตยัง
ล่าสุดความพยายามแก้ปัญหาหนี้ก้อนใหญ่ของร.ฟ.ท.ด้วยการแลกภาระหนี้กับการโอนการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณมักกะสันให้กระทรวงการคลังต้องยุติลง เนื่องจากติดประเด็นกฎหมาย
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้กรมธนารักษ์ และ ร.ฟ.ท.ต้องยุติแผนการส่งมอบที่ดินมักกะสันเพื่อแลกกับภาระหนี้ของ ร.ฟ.ท.จำนวนกว่า 6.1 หมื่นล้านไปก่อน เพื่อส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในข้อกฎหมายว่าสามารถนำที่ดินที่ร.ฟ.ท.เวนคืนมาเพื่อกิจการรถไฟไปใช้เพื่อกิจการอื่นได้หรือไม่
“โครงการพัฒนาที่ดินมักกะสันก็คงต้องหยุดไปก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนว่าสามารถนำที่ดินมักกะสันมาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งก็ต้องรอให้กฤษฎีกาตีความ และไม่รู้ว่าจะต้องมีการปรับแก้กฎหมายหรือไม่ เรื่องนี้รัฐวิสาหกิจอื่นๆที่มีการเวนคืนที่ดินก็เจอปัญหาในลักษณะนี้ เราจึงต้องทำให้ชัดเจน”
นโยบายของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซูเปอร์บอร์ด วางกรอบให้โอนสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินมักกะสัน 492 ไร่ให้กระทรวงการคลังแลกกับภาระหนี้ของการรถไฟราว 6.1 หมื่นล้าน โดยให้ส่งมอบพื้นที่ภายใน 2 ปี และให้กรมธนารักษ์ศึกษาการใช้ประโยชน์ที่ดินเชิงพาณิชย์ และจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนหรือเป็นโครงการพีพีพี (PPP)
นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีการล้างหนี้ 6.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรอความชัดเจนทางกฎหมาย
การโอนที่ดินมักกะสันถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูกิจการของ ร.ฟ.ท. เพื่อลดภาระหนี้กว่า1.8แสนล้านบาท และคนร.ยังตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อไปดูแลการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ร.ฟ.ท.ที่มีอยู่กว่า 3.6 หมื่นไร่ หรือกว่า 1 หมื่นสัญญาทั่วประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะครบกำหนดสัญญาในเดือนก.ย.นี้กว่า 7 พันสัญญา
คณะทำงานชุดนี้มีนายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานและมีกรมธนารักษ์ ร่วมเป็นกรรมการ
ปรับบอร์ดครั้งใหญ่รอบ10ปี
ความล่าช้าในการฟื้นฟูกิจการ ร.ฟ.ท.ทำให้มีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการชุดใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนครั้งใหญ่ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา
คณะกรรมการชุดใหม่ มีนายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย เวลท์ จำกัด เป็นประธาน ส่วนกรรมการ ประกอบด้วย นายคณิศ แสงสุพรรณ ,นายบวร วงศ์สินอุดม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองอธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) รองศาสตราจารย์ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นางอัญชลี เต็งประทีป และนายอำนวย ปรีมนวงศ์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวยอมรับว่าการปรับบอร์ดใหม่ ถือเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 10 ปี เพราะที่ผ่านมา มักมีการแต่งตั้งแทนคนที่หมดวาระ
“ยอมรับว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ส่วนสำคัญมาจากนโยบายของภาครัฐฯ ที่มอบหมายให้คณะกรรมการแต่ละบุคคลเข้ามาช่วยดำเนินงานของ ร.ฟ.ท.ในประเด็นสำคัญเรื่องการเงิน และการจัดสรรสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ”
โยนบอร์ดหารายได้จากที่ดินเพิ่ม
นายออมสิน กล่าวว่า ประเด็นสำคัญคือการพัฒนาที่ดินของ ร.ฟ.ท. ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายหนึ่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ต้องการนำที่ดินของร.ฟ.ท.ไปพัฒนาในหลายด้าน และคาดหวังว่าจะนำเงินรายได้ส่วนนี้มาชดเชยการขาดทุนจากการบริหารการเดินรถไฟ เนื่องจาก ร.ฟ.ท. ภาระค่าใช้จ่ายหลักๆ ปีละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้าน ประกอบด้วย ภาระเงินค่าบำนาญปีละ 3.7 พันล้านบาท ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ปีละ 3 พันล้านบาท และค่าเสื่อมและค่าดำเนินงานต่างๆ อีก ปีละประมาณ 3 พันล้านบาท
“กิจการเดินรถไฟขาดทุนเป็นไปตามหลักสากลทั่วโลก ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรก็มีหนี้ปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้นต้องหารายได้มาทดแทน"
สั่งเร่งแก้ปัญหาปิดงบดุล
นายออมสิน ยังกล่าวอีกว่าปัจจุบัน หนี้สินของ ร.ฟ.ท. มีอยู่ราว 1.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สินในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ 3.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่หนี้สินสะสมเดิมอีก 6.1 หมื่นล้านบาท
ดังนั้นบอร์ดชุดใหม่นี้ที่มีทั้งนักบริหารมืออาชีพ ก็เชื่อมั่นว่าจะเข้ามาบริหารจัดการและสะสางปัญหาที่ค้างสะสมอยู่เดิมได้ รวมทั้งอยากให้แก้ไขปัญหาในเรื่องของการปิดงบดุลทางบัญชี เพราะระบบบัญชีของ ร.ฟ.ท.พบว่าผ่านการรับรองของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2553 แต่นับจากนั้นจนถึงปัจจุบันยังไม่ผ่านการรับรอง
“สมคิด”สายตรงเร่งแก้ปัญหาการเงิน
ด้านนายพิชิต ในฐานะประธานบอร์ดคนใหม่ กล่าวยอมรับว่าการปรับบอร์ดมาจากนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งโจทย์หลักๆที่ได้รับมอบหมาย คือแก้ปัญหาเรื่องการเงิน หนี้สิน ตลอดจนการบริหารจัดสรรทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพ
“ไม่หนักใจถึงการเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ เพราะก็มองเสมอว่าเป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และได้รับการไว้ใจ รวมทั้งคนของการรถไฟฯ ก็เก่งอยู่แล้ว แต่ก็แอบกังวลเรื่องกรอบเวลาของการนั่งทำงาน เพราะมีวาระอยู่เพียง 3 ปี ซึ่งหากเทียบกับปัญหาของการรถไฟฯ แล้ว ก็นับว่ากรอบเวลามีไม่มากนัก”
เล็งปรับโมเดลตลาดทุนมาใช้
นายพิชิต กล่าวว่าประเด็นสำคัญของร.ฟ.ท.อยู่ที่การบริหารทรัพย์สินที่มีอยู่มากให้เกิดรายได้อย่างเพียงพอ โดยไม่ต้องอาศัยเพียงรายได้จากการเดินรถ นอกจากนี้จะนำประสบการณ์จากบริษัทหลักทรัพย์เอาโมเดลการใช้ประโยชน์จากตลาดทุนเข้ามาเป็นปัจจัยสนับสนุนทิศทางของร.ฟ.ท.หลังจากนี้ด้วย เพราะการบริหารจัดการทรัพย์สินเป็นปัญหาหลักขององค์กร
“หากปรับใช้โมเดลเข้าด้วยกันได้ ก็เชื่อว่าจะทำให้บริหารทรัพย์สินที่มีอยู่มากให้เกิดประสิทธิภาพ และใช้งบประมาณของรัฐบาลน้อยลง”
นายพิชิต ยังกล่าวอีกว่าในวันที่ 13 ก.ย.นี้จะประชุมร่วมบอร์ดชุดใหม่กับฝ่ายบริหารเป็นครั้งแรก โดยประเด็นจะหารือเรื่องบริหารทรัพย์สิน ส่วนเรื่องการเข้าไปบริหารรถไฟชานเมืองสายสีแดงนั้น อาจต้องหารือร่วมกันก่อน
ขาดสภาพคล่องรุนแรง
สำหรับผลการดำเนินงานของร.ฟ.ท.ในปี 2558 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ระบุว่า มีผลขาดทุนสะสม 104,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 กว่า 3.4% เนื่องจากมีทรัพย์สินที่มีอายุการใช้งานมาก มีปัญหาสมรรถนะของสภาพโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถจักรและล้อเลื่อน สภาพรางที่มีสภาพชำรุด ทรุดโทรม ไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมในการให้บริการอย่างมีคุณภาพ
ผลประกอบการในปี 2558 ร.ฟ.ท.มีรายได้ลดลง แต่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ประสบปัญหาขาดทุนและขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงโดยมีรายได้ 14,219 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 1.87% ส่วนใหญ่เป็นการลดลงจากรายได้อื่น คือกำไรจากการขายทรัพย์สินและรายได้จากการบริจาค ส่วนค่าใช้จ่ายในปี 2558 อยู่ที่ 27,442 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.29% ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายการบำรุงทาง อาณัติสัญญาณ การบำรุงรักษารถจักร ล้อเลื่อน และการเดินรถขนส่ง
นอกจากนี้ ร.ฟ.ท.ยังมีปัญหาในด้านการจัดทำระบบบัญชีให้ข้อมูลมีความถูกต้องและตามกำหนดเวลา รวมทั้งบัญชีทรัพย์สิน “ไม่ตรง” กับทะเบียนทรัพย์สินที่มีอยู่ ทำให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไม่ให้ความเห็นต่องบการเงิน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการปิดงบการเงินในปี 2554







