สกสว.นำองค์กรทุนวิจัย (PMU) โชว์ผลงานเด่น กองทุน ววน. ให้ผลตอบแทน 3.57 เท่า

สกสว.สานพลังภาคีวิจัยร่วมโชว์ผลงานเด่นของกองทุน ววน. ที่สร้างผลกระทบแก่ประเทศอย่างเป็นรูปธรรมใน 4 เสาหลัก พร้อมเปิดตัว “วท.กห.” ในฐานะหน่วยให้ทุนใหม่ด้านความมั่นคง
ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานแถลงข่าวผลงานกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) และความสำเร็จของแผนด้าน ววน. ของประเทศ พ.ศ. 2566-2570 ร่วมกับผู้บริหารหน่วยบริหารและจัดการทุน ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ กรุงเทพฯ
เพื่อสะท้อนความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ของแผนด้าน ววน. ที่นำพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าและชนะอย่างภาคภูมิอย่างภาคภูมิใจ รวมถึงแสดงให้เห็นคุณค่าและผลกระทบที่ ววน. ส่งมอบแก่ประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
ตลอดจนเปิดเวทีระดับนโยบายเพื่อร่วมกำหนดทิศทางและออกแบบอนาคต ววน. ของประเทศด้วยความหวังและพลังความร่วมมือ
ผู้อำนวยการ สกสว. ระบุว่า ผลงานของกองทุน ววน. ไม่ใช่เพียงการรายงานตัวเลข แต่พิสูจน์ให้เห็นว่า "การลงทุนในความรู้" สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศได้อย่างไร
ตั้งแต่ปี 2563-2568 กองทุน ววน. ได้รับการจัดสรรงบประมาณรวมทั้งสิ้น 101,285.97 ล้านบาท โดยมุ่งผลลัพธ์เป็นหลักเพื่อเปลี่ยนทุกภาษีของประชาชนให้กลายเป็นคุณค่าที่เป็นรูปธรรม สร้างมูลค่าการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์จริง เกิดผลกระทบทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมเฉลี่ยสูงถึง 3.57 เท่า
ยกตัวอย่างจากงบประมาณแผนงานขนาดใหญ่ 7 พันล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 25,000 ล้านบาท ส่วนในมุมของสังคมและสิ่งแวดล้อมมีทั้งการรับมือภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาสังคม สังคมสูงวัย การแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่
ความสำเร็จของแผน คือ “ววน. ที่จะพาประเทศไทยชนะ” โดยเส้นทางความสำเร็จของกองทุน ววน. จากความร่วมมือของหน่วยบริหารและจัดการทุน ได้แก่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.)
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น 8 เส้นทาง จาก 13 แผน โดยเน้น 4 เสาหลัก ประกอบด้วย
เสาที่ 1 ความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ เส้นทาง “ไทยก้าวสู่อนาคตอาหารโลกด้วยผู้ประกอบการนวัตกรรม” ประกอบด้วย ธุรกิจฐานนวัตกรรมด้านอาหารแห่งอนาคต อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทางการแพทย์ อาหารพื้นถิ่นสู่สากล อาหารฮาลาล และผลไม้มูลค่าสูงที่มีมูลค่าการขายและส่งออกเพิ่มขึ้น
“ผู้ประกอบการนวัตกรรมพลังงาน-ชีวภาพ พาประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ได้แก่ นวัตกรรมทางเลือกและการจัดการพลังงาน การสร้างมูลค่าการผลิตพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนและพลังงานชีวภาพโดยผู้ประกอบการในประเทศเพิ่มขึ้น และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“ประเทศไทยชนะอนาคตด้วย AI-EV-ธุรกิจนวัตกรรม” เช่น เครื่องสแกนใบหน้าสามมิติคุณภาพสูงเพื่อช่วยให้การสื่อสารระหว่างคนไข้กับแพทย์มีประสิทธิภาพ ชัดเจนและง่ายขึ้น
SeaTrue CURRENT ปฏิวัติระบบการเลี้ยงกุ้งแบบแม่นยำบนปลายนิ้วสัมผัสด้วยการตรวจสอบแบบเรียลไทม์และการให้อาหารที่แม่นยำ การพัฒนารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะและแบตเตอรี่แพ็ค ระบบระบายความร้อนมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง เป็นต้น
ความสำเร็จของเสาแรกทำให้เกิดผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท เกิดตลาดใหม่และผลิตภัณฑ์เขียว เพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรสูงถึงร้อยละ 80 ลดการนำเข้าและสร้างรายได้ในประเทศ
รวมถึงเกิดผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ประเทศจากครัวไทยสู่ครัวโลก เป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต” โดยมี ววน. เป็นเครื่องมือสร้างอุตสาหกรรมใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ปัจจุบันมีสตาร์ตอัปกว่า 2,100 ราย และก้าวสู่ระดับโลกแล้วประมาณ 200 ราย
เสาที่ 2 การแพทย์และระบบสุขภาพ ได้แก่ เส้นทาง “นวัตกรรมการแพทย์เพื่อความแม่นยำ ขับเคลื่อนไทยสู่การรักษาแห่งอนาคต” เช่น การวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด HXP-GPOVac ด้วยเทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก วัคซีนป้องกันมะเร็งปาดมดลูก HPV9v
การผลักดันเครื่องมือแพทย์เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมและสิทธิประโยชน์ สปสช. สารสกัดสมุนไพรพรมมิที่มียอดขาย 150 ล้านบาท/ปี และขยายไปตลาดอาเซียน
“ยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพไทยด้วยข้อมูลพันธุกรรมและการแพทย์แม่นยำ” เกิดเครือข่ายสถาบันวิจัยทางคลินิก 41 แห่ง ภายใต้ศูนย์ทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ศูนย์ข้อมูลจีโนมแห่งชาติ และผู้ประกอบการธุรกิจเอกชน
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม คือ ลดการนำเข้าอุปกรณ์และเวชภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ สร้างรายได้ให้ประเทศและเอกชนหลายร้อยล้านบาท เช่น เท้าเทียมสร้างรายได้ให้เอกชนกว่า 8 ล้านบาท รากฟันเทียมและถุงทวารเทียมเข้า สปสช. ช่วยประหยัดเงินได้กว่า 125 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ตรวจเร็ว แม่นยำ ลดภาระแพทย์ เช่น ชุดตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับแบบเร็ว (OV Antigen Rapid Test Kit: OV-ATK) ใช้ได้จริงทั่วประเทศและขยายผลสู่ สปสช.
รวมถึงการให้บริการอ่านภาพถ่ายรังสีเอกซเรย์ทรวงอกด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Chest X-ray) เพื่อคัดกรองโรคปอด ได้บรรจุเข้าชุดสิทธิประโยขน์ สปสช. ให้ใช้ในโรงพยาบาล 167 แห่ง สร้างรายได้ประมาณ 55 ล้านบาท ส่วนผลกระทบเชิงระบบเปลี่ยนจากการพึ่งพาเป็น “การพึ่งพาตนเอง” โดยมี ววน. เป็นฐานของความมั่งคงทางสุขภาพในระยะยาว
เสาที่ 3 การลดความยากจนและความเสมอภาค ได้แก่ เส้นทาง “จากความยากจนสู่โอกาสใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และพลังพื้นที่” (กลุ่มจังหวัดชายแดนใต้ กลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธุ์ และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน)
เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มคนจนที่ปักหมุดการเปลี่ยนแปลงด้วยข้อมูล เทคโนโลยี และชุมชน สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก คือ รายได้ครัวเรือนยากจนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15-20 เกิดอาชีพใหม่จากเกษตรมูลค่าเพิ่ม การแปรรูป และเศรษฐกิจชุมชน ลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม
ขณะที่ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ ชุมชนเป็นเจ้าของการพัฒนา เชื่อมการแก้จนกับสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติและสังคมสูงวัย และใช้วิทยาศาสตร์สนับสนุนนโยบายสิ่งแวดล้อม
เสาที่ 4 ศักยภาพของกำลังคนและสถาบันความรู้ ได้แก่ เส้นทาง “เทคโนโลยีขั้นแนวหน้าสู่การแก้ปัญหาระดับโลก” เช่น การวิเคราะห์ชนิดทางเคมีทำให้เข้าใจกลไกการปนเปื้อนและประเมินระดับความเป็นพิษของสารหนูนำสู่การออกแบบกลไกการแก้ไขปัญหา
และใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์สนับสนุน กมธ. กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
รวมถึงสร้างความร่วมมือกับจีนและเกาหลีใต้เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างมาตรฐาน แลกเปลี่ยนกำลังคน ยกระดับสถาบันสู่ศูนย์กลางการให้บริการวิจัยขั้นแนวหน้า การวิจัยด้านวัสดุขั้นสูงด้วยเทคนิค In-situ/operando ระดับอะตอม เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม
“เปลี่ยนอนาคตประเทศ” ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม เส้นทางอาชีพ โดยมีบุคลากรทักษะสูงจากศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญและศูนย์กลางความรู้กว่า 300 คน มีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างชาติกว่า 600 คน และบุคลากรที่ร่วมภาคีเครือข่ายชั้นนำของโลก 51 คน
นอกจากนี้ยังพัฒนากำลังคนสำหรับอุตสากรรมอนาคต การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น การใช้ฐานข้อมูลด้านภูมิสารสนเทศปัญญาประดิษฐ์แก่นักศึกษาและนักวิจัยในพื้นที่ เปลี่ยนพื้นที่ประสบภัยให้เป็นห้องเรียนเสมือนจริง
การใช้เทคโนโลยีเก็บข้อมูลเชิงลึกเพื่อย้อนตรวจสอบสภาพเมืองหลังน้ำลดและประเมินความเสียหายเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ การต่อยอดศูนย์ข้อมูลกลางภูมิสารสนเทศเพื่อบริหารจัดการน้ำท่วมหาดใหญ่ เป็นต้น
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ลดต้นทุนการผลิตและการว่างงาน เพิ่มทักษะแรงงานขั้นสูง เกิดสตาร์ตอัปเชิงเทคโนโลยี
ประเทศไทยขยับจากผู้ใช้เทคโนโลยีเป็น “ผู้คิดค้นและออกแบบ ขณะที่ผลกระทบเชิงระบบทำให้งานวิจัยขั้นแนวหน้าและโครงสร้างพื้นฐานถูกใช้แก้ปัญหาจริงของประเทศ และมีนโยบายสาธารณะที่ตั้งอยู่บนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้
ในโอกาสนี้ สกสว. ได้เปิดตัวหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) ใหม่ที่จะมาดูแลงานวิจัยด้านความมั่นคงประเทศ โดย พล.ท.คม วิริยเวชกุล เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม เปิดเผยว่า
ที่ประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ได้อนุมัติการจัดตั้งกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมประเภทที่ (2) หน่วยงานด้านการให้ทุน
ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้โจทย์วิจัยด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศตรงกับความต้องการของกองทัพในฐานะผู้ใช้งานจริง
โดยมุ่งเน้นการบูรณาการงานวิจัยด้านความมั่นคงให้มีทิศทางและเป็นเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อน และมีการบริหารจัดการแบบครบวงจร รวมถึงวางเป้าหมายลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คณะ วท.กห. จึงได้เข้าพบผู้บริหาร สกสว. เพื่อหารือแนวทางการดำเนินงานและเตรียมความพร้อมในฐานะ PMU ความมั่นคง
โดยเบื้องต้นกรอบการบริหารและจัดการทุนน่าจะสอดคล้องกับแผนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคง และเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยขอความร่วมมือและข้อเสนอแนะจากทุกหน่วยงานในการปรับโครงสร้าง กฎระเบียบ และระบบต่าง ๆ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ.







