พลัง 'AI' พลิกเกมองค์กรไทย เปลี่ยนผ่านสู่ 'ความยั่งยืน'

"ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" เปิดผลสำรวจ “Green Impact Gap” ประจำปี 2568 พบองค์กร 52% ใช้ AI เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
KEY
POINTS
- ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พบว่า 52% ขององค์กรในไทยกำลังใช้ AI เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
- องค์กรไทยเชื่อว่าประโยชน์สูงสุดของ AI ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน คือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการเก็บรวบรวมข้อมูลพร้อมการรายงานอัตโนมัติ
- AI ถูกนำมาใช้เพื่อปลดล็อกการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
- 43% ขององค์กรใช้ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากร
- แม้ผู้นำธุรกิจจะมองว่าความยั่งยืนเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโต แต่ยังคงมี "ช่องว่างระหว่างคำมั่นกับการปฏิบัติจริง" 98% ตั้งเป้าหมาย แต่มีไม่ถึงครึ่งที่ลงมือทำอย่างจริงจัง
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดผลสำรวจ “Green Impact Gap” ประจำปี 2568 พบองค์กร 52% ใช้ AI เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
การสำรวจพบว่า แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความไม่มั่นคงทางภูมิศาสตร์ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน แต่ผู้นำธุรกิจในประเทศไทยมอง “ความยั่งยืน” เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจมากขึ้นอย่างชัดเจน
มงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา กล่าวว่า องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยไม่เพียงต้องรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังใช้ความยั่งยืนเป็นเข็มทิศในการนำทาง
ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังคงผันผวน ผู้ที่ปรับตัวได้เร็วกำลังใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและ AI ในการปลดล็อกด้านต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความเสี่ยง และสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาว
รับมือเศรษฐกิจผันผวน
สำหรับปี 2568 ถือเป็นหนึ่งในปีที่โลกเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจมากที่สุด 59% ของซีอีโอในไทยเผยว่า ขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กรด้วยการสร้างนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขัน และมองว่าความยั่งยืนนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจ
ขณะที่ 43% ของซีอีโอในไทยให้เหตุผลว่า การดำเนินงานด้านความยั่งยืนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ และ 38% ของซีอีโอในไทยระบุว่า ความยั่งยืนช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจในภาวะวิกฤต
สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่มองความยั่งยืนเป็นเพียงส่วนเสริมทางธุรกิจเท่านั้น แต่ปัจจุบันมองเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำพาธุรกิจผ่านช่วงเวลาที่ท้าทาย
นอกจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและข้อจำกัดด้านงบประมาณที่เป็นอุปสรรคอันดับต้นๆ ต่อการลงทุน ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น แรงจูงใจที่ไม่ดีพอ ความไม่แน่นอนของนโยบาย และความยุ่งยากทางราชการที่เกี่ยวข้อง
AI ปลดล็อกการ ‘ลดต้นทุน’
AI ปลดล็อกการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน : เครื่องมือดิจิทัลขั้นสูงอย่าง AI กำลังช่วยให้องค์กรต่างๆ จัดการกับความเสี่ยงทางการเงินและพลังงานได้ องค์กรมากกว่าครึ่งของไทยกำลังนำโซลูชัน AI มาใช้สนับสนุนด้านความยั่งยืน
โดย 43% ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากร ซึ่งเป็นวิธีที่องค์กรในไทยใช้ดิจิทัลเพื่อความยั่งยืนสูงที่สุดตลอดทั้งปี 2567 และ 2568
ทั้งนี้ 52% ขององค์กรในไทยเชื่อว่าประโยชน์สูงสุดของ AI ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลและการรายงานอัตโนมัติ
ขณะที่ 54% ขององค์กรในไทยมองว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และ 45% ขององค์กรในไทยใช้ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์
ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วย AI ถือเป็นการตอบโจทย์ความเสี่ยงสำคัญขององค์กรเนื่องจาก 45% ขององค์กรในไทยระบุว่า ราคาพลังงานที่ผันผวนเป็นความเสี่ยงหลักที่ต้องบริหารจัดการ และยังคงเป็นปัญหาที่พบในทุกประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจตั้งแต่ปี 2566
‘ดาต้าเซนเตอร์’ ผู้นำนวัตกรรม
อุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ ผู้นำนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน : ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ข้อมูลระบุว่า ผู้บริหารในประเทศไทย 41% กำลังดำเนินการตามแผนและนโยบาย Green IT เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลโดยทั่วไปขององค์กร
ที่น่าสนใจพบว่า อุปสรรคในการดำเนินงานกำลังลดลง องค์กรต่างๆ มีแนวโน้มที่จะรายงานปัญหาน้อยลง เช่น ปัญหาขาดแคลนทางเลือกพลังงานสะอาด
จากการรายงานปัญหา 32% ในปี 2566 ลดลงเหลือเพียง 27%, ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรที่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์จาก 38% เหลือเพียง 31%, ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของทางเลือกพลังงานสะอาดจาก 42% เป็น 37% และปัญหาอุปสรรคด้านกฎระเบียบจาก 31% ลดลงเป็น 29%
ก้าวสำคัญสู่ ‘ความยั่งยืน’
การลงทุนยังคงทรงตัวแม้จะมีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน : ขณะที่ผู้บริหารเล็งเห็นถึงผลกำไรที่มาพร้อมกับความยั่งยืน การลงทุนที่ได้วางแผนไว้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนจึงยังคงทรงตัว
โดย 41% วางแผนจะลงทุนอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ ท่ามกลางอุปสรรคเช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ, ข้อจำกัดด้านงบประมาณภายใน, และแรงจูงใจจากภาครัฐที่ยังไม่เพียงพอ
ความไม่สอดคล้องกันระหว่างเป้าหมายกับการลงมือทำ : แม้ผลสำรวจสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นขององค์กรไทยในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน แต่ยังคงมี “ช่องว่างระหว่างคำมั่นกับการปฏิบัติจริง” หรือที่เรียกว่า Green Impact Gap
ปีนี้ 98% ขององค์กรตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มีไม่ถึงครึ่งที่ลงมือทำอย่างจริงจัง ซึ่งช่องว่างดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับ 47% เช่นเดียวกับปี 2567 ที่ผ่านมา
ปี 2568 นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศปี 2573 โดย 91% ขององค์กรในประเทศไทยมั่นใจว่า จะบรรลุหรือทำได้เกินกว่าเป้าหมาย และ 30% ระบุว่าสามารถทำได้เร็วกว่ากำหนดมากกว่า 3 ปี







