"บ้านดินอาข่า" บทพิสูจน์ ‘การให้มีความสุขกว่าการรับ’

เขาคือหนุ่มสายเลือดอาข่าที่ยอมทิ้งงานในเมืองกลับไปพลิกฟื้นชุมชนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางเลือกใหม่เพราะเชื่อว่า การให้มีความสุขกว่าการรับ
“โยฮัน-ประกาศิต เชอมือกู่” คนหนุ่มวัย 32 ปี หอบหิ้วผลิตภัณฑ์งานฝีมือ ทั้งตุ๊กตาไม้แกะสลัก น้ำเต้าใส่น้ำใส่เมล็ดพันธุ์ งานปักสีสันสดใส ฝีมือของผู้เฒ่าผู้แก่ และคนใน “หมู่บ้านหล่อโย” ชุมชนชาวอาข่า ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย เพื่อแนะนำตัว “บ้านดินอาข่าโฮมสเตย์” กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise : SE) ด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME Bank กิจการซึ่งเขาพยามปลุกปั้นขึ้นเมื่อประมาณ 9 ปีก่อน
“โยฮัน” คืออดีตลูกหลานอาข่าที่มีโอกาสไปร่ำเรียนในตัวเมือง เขาจบจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย ก่อนได้ทุนไปศึกษาต่อในสาขาเกษตรที่ประเทศอิสราเอล หลายคนอาจคิดว่า จบมาเขาคงเอาดีกับอาชีพเกษตร แต่โยฮัน กลับพบความจริงว่า ระบบเกษตรในประเทศไทยนั้นไม่สามารถทำให้ชาวบ้านหลุดพ้นจากความยากจนได้ เขาเลยตัดสินใจเบนเข็มไปเรียนต่อด้านการท่องเที่ยว จากนิสิตเกษตรเลยไปทำงานเป็น “ไกด์อิสระ” แนะนำนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ วิถีชีวิตและวัฒนธรรม ทั่วเชียงราย และ เชียงใหม่
ระหว่างทางของการทำงาน โยฮันกลับมามองชุมชนบ้านเกิด เขาพบว่า ชาวบ้านหล่อโยมีรายได้จากการทำเกษตรเพียงอย่างเดียว ส่วนเด็กรุ่นใหม่ก็มาทำงานในเมืองกันหมด น้อยคนนักที่จะกลับไปทำอะไรที่บ้านเกิด ตรงข้ามกับสายตาของเขาที่มองเห็นว่า ในชุมชนมีของดีอยู่มากมาย เพียงแต่ยังไม่มีการนำมาพัฒนาเพื่อสร้างรายได้เท่านั้น
“ผมมองว่า ชุมชนเรามีของดีอยู่มากมาย เพียงแต่จะพัฒนาสิ่งที่มีอยู่นั้นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือแปลงให้เป็นเม็ดเงินได้อย่างไร ที่จะเป็นผลดีต่อชุมชนของเรา” เขาบอก
และนั่นคือไอเดียเริ่มต้น ที่จุดประกายให้คนหนุ่มอยากเปลี่ยนชุมชนหล่อโย มาเป็น ที่พัก แหล่งเรียนรู้ และพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ผู้คนจากโลกภายนอก ได้มาท่องเที่ยว เรียนรู้วัฒนธรรม และประเพณีที่งดงามของชาวอาข่า
แต่จะทำอย่างไรในเมื่อเขามีแค่สองมือเล็กๆ กับความคิด ไม่มีทุนรอนที่ไหนจะมาผลักดันฝันใหญ่นี้ได้
โยฮันเลยเริ่มจากทำบ้านดินจากวัสดุเหลือใช้ที่มีในชุมชน โดยใช้ดินโคลนในหมู่บ้าน วิธีการทำก็เซิร์สดูจากอินเตอร์เน็ต ที่ทำบ้านดินไม่ใช่เพราะแค่ต้นทุนต่ำ แต่เขาเชื่อว่านี่จะเป็น “จุดขาย” สำคัญ เพราะชุมชนใกล้เคียงที่ทำเรื่องท่องเที่ยว ก็เน้นทำที่พักสไตล์โมเดิร์นกันทั้งนั้น เขาเลยอยากฉีกตัวเองมาทำบ้านดินเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
“การทำบ้านดินจากขยะเหลือใช้ในชุมชน ผมมองว่า มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง” คนหนุ่มบอก สะท้อนจุดขายของบ้านดินอาข่าที่ไม่ใช่แค่ที่พัก แต่คืองานศิลปะ ไม่ได้ขายความสะดวกสบาย แต่ขายความคิด ที่คนมาพักอาจจะได้ความคิดดีๆ กลับบ้านไปด้วย
บ้านหลังแรกเริ่มสร้างในปี 2550 และเพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการก็เมื่อ 5 เดือนก่อน เลยนับเป็นโปรเจคที่ยาวนานอยู่พอตัว แถมระหว่างทางยังถูกปรามาสจากคนรอบข้าง หาว่าเขาบ้าที่คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น
“ตอนแรกที่ผมทำ มีแต่คนบอกว่า โยฮัน บ้าหรือเปล่า คนอื่นเขาทำบ้านปูนกันหมด แต่นี่มาทำบ้านดิน ผมไม่เคยไปทะเลาะกับเขาหรอก แต่บอกกับทุกคนไปว่า ผมทำในสิ่งที่ผมเชื่อ และเชื่อในสิ่งที่ผมทำ ขอให้พวกคุณรอดูผมอีกสักสิบปี แล้วคุณจะเห็นว่าผมทำอะไรอยู่ คุณจะเห็นเองในตอนนั้น” เขาย้ำ
ผ่านมาถึงวันนี้ จากบ้านดินในจินตนาการ กลายมาเป็นบ้านพัก 8 ห้อง รองรับลูกค้าได้ประมาณ 16 คน แบบมีห้องน้ำในตัวขายในราคาห้องละ 1,500 บาท แต่ใครชอบธรรมชาติ อยากใช้ห้องน้ำข้างนอก ก็คิดแค่คืนละ 700 บาท ส่วนใครจะพักก็ต้องจองล่วงหน้า และอย่าได้คิดว่าที่นี่จะล้าสมัย เพราะช่องทางขายและโปรโมทของพวกเขาคือเว็บท่องเที่ยวชื่อดัง อย่าง Booking.com, agoda, tripadvisor และairbnb ลูกค้าเลยมีอยู่ทั่วโลก
เดิมทำธุรกิจอย่างยากลำบาก ชนิดที่เขาบอกว่า เอาทุกอย่างที่มี มาแปลงเป็นเงินจนหมด มีรถ ขายรถ มีทอง ก็ขายทอง เพราะคนที่มีแต่ความฝัน แบงก์ที่ไหนเขาจะให้กู้ จนเมื่อความฝันเริ่มเป็นรูปร่าง ทุกคนเริ่มเห็นความเป็นไปได้ มาบวกกับยุคนี้ที่รัฐบาลประกาศจะสนับสนุน กิจการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) อย่างเต็มที่ “บ้านดินอาข่าโฮมสเตย์” เลยได้รับการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ จาก SME Bank มาขยับฝันให้ใหญ่ขึ้น
บ้านดินอาข่าโฮมสเตย์ เลือกใช้โมเดลกิจการเพื่อสังคม เพราะได้แรงบันดาลใจจาก “Local Alike”SE ด้านการท่องเที่ยวชุมชน ของ “สมศักดิ์ บุญคำ” โยฮัน ย้ำหลายครั้งว่า ที่มีวันนี้ได้ก็เพราะการผลักดันของ Local Alike หลังได้เจอกันเมื่อ 4 ปีก่อน โดย โยฮัน รับหน้าที่เป็นไกด์ทำทัวร์ในเชียงราย การทำธุรกิจของเขาเลยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาสังคมไปพร้อมกันด้วย
“จุดประสงค์หลักของผม ผมไม่ได้ปรารถนาว่าจะต้องมีเงินทองมากมาย แต่อย่างน้อยผมมีเงินพอดูแลครอบครัว แล้วก็ทำประโยชน์ให้กับชุมชนได้”
นั่นคือที่มาของแนวคิด พัฒนาชุมชนไปพร้อมกับผลักดันเรื่องการท่องเที่ยว โดยคนในชุมชนหล่อโย มีทักษะด้านการเย็บปักอยู่แล้ว เขาเลยชักชวนมาทำผลิตภัณฑ์ชุมชน คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ก็รื้อฟื้นภูมิปัญญา มาทำของที่ระลึกขาย บ้านไหนปลูกผักก็ไปรับซื้อมาบริการลูกค้า ส่วนหนึ่งมาร่วมทำการแสดง หากใครพอมีทักษะด้านการสื่อสารก็มาเป็นผู้ช่วยไกด์ ตัวอย่างไอเดียแจ่มๆ ที่ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนของพวกเขา
ระหว่างทางของการทำเรื่องท่องเที่ยว โยฮัน ก็ทำโครงการพัฒนาหมู่บ้านไปด้วย โดยเขาอาสามาเป็นผู้นำดึงคนรุ่นใหม่ที่มีจิตอาสาอีก 9 ชีวิต มาร่วมทำภารกิจแก้ปัญหาชุมชน อย่าง การพัฒนาระบบน้ำ การจัดการกับขยะ สร้างอาชีพให้ชุมชน พัฒนาเยาวชน และตัดวงจรยาเสพติดให้ไกลพ้นจากหมู่บ้าน เหล่านี้เป็นต้น
จากประเพณี วัฒนธรรมที่เคยเลือนหายไป เด็กรุ่นใหม่ไม่สวมชุดอาข่า มีแต่คนเฒ่าคนแก่เท่านั้น ทุกวันนี้สิ่งเหล่านี้เริ่มรื้อฟื้นกลับมาอีกครั้ง สำหรับเขาผลพลอยได้เหล่านี้สำคัญกว่าเม็ดเงินที่ได้มาด้วยซ้ำ
ใครที่มีฝันแบบเดียวกัน โยฮันบอกว่า ขอให้ตั้งใจจริง อย่าเพิ่งคิดไปก่อนว่าจะทำไม่ได้ ขอแค่ให้ลงมือทำ และต่อให้ล้มก็ถือเป็นประสบการณ์ ล้มก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ วันหนึ่งความตั้งใจของเราคงต้องมีใครสักคนมองเห็นแน่ และพยายามเอาความตั้งใจนี้ไปคุยกับคนอื่น ไปรู้จักกับกลุ่มคนที่จะช่วยเราได้ แล้วฝันที่ไร้รูปร่างก็จะเป็นจริงขึ้นมาได้
“ไม่ว่าจะทำงานหรือทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมคิดถึงชุมชนและคนที่อยู่รอบข้าง เพราะการให้มีความสุขมากกว่าการรับเสมอ”
คนหนุ่มย้ำในสิ่งที่เขาพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว







