“ครามสกล” คนรักผ้าแห่งเมืองสกล

“ครามสกล” คนรักผ้าแห่งเมืองสกล

ผ้าย้อมครามภูมิปัญญาของชาวสกลที่อยู่ในร้าน "ครามสกล" มีเรื่องเล่าของนักออกแบบผู้ขออุทิศตน เพื่อเมืองสกลนคร ความสุขของเขาอยู่บนผืนผ้าเหล่านี้

“ผมสงสัยว่า ทำไมจังหวัดสกลนคร ถึงไม่มีของที่ระลึก หรือของฝากประจำจังหวัดเลย”

“เจษฎา กัลยาบาล” Creative Director และผู้จัดการร้าน “ครามสกล” (KramSakon) บ้านพะเนาว์ ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร บอกความสงสัยที่จุดประกายให้อดีตหนุ่มแบงก์อย่างเขาตัดสินใจหันหลังให้งานประจำ ออกมามุ่งมั่นทำของที่ระลึกเพื่อจังหวัดบ้านเกิด

เขาเริ่มจากออกแบบของที่ระลึกจำพวก พวงกุญแจ ก่อนจะเห็นว่าในจังหวัดมีแม่ๆ ซึ่งทอผ้าอยู่เยอะมาก โดยเฉพาะการทำผ้าย้อมคราม ภูมิปัญญาของชาวสกล คนทำมีฝีมือ ติดก็แต่ไม่มีตลาดที่แน่นอน เขาเลยคิดนำผ้าเหล่านั้นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยกระตุ้นการขายให้กับผลงานของแม่ๆ

“โจทย์หลักของผมคือ เอาผ้าจากทุกชุมชนมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แล้วก็ทำแบรนด์ ซึ่งชุมชนทอผ้าครามอยู่แล้ว โดยเฉพาะจังหวัดสกลนครมีกลุ่มที่ทำผ้าย้อมอยู่ประมาณ 60 กลุ่ม”

จากนั้นมีโอกาสไปออกงานแสดงสินค้าระดับประเทศ กับโครงการของอุตสาหกรรมภาค ปรากฏว่าหลังจบงานมีออเดอร์เข้ามา แต่ปัญหาที่พบคือ ไม่รู้ว่าลายผ้าผืนงามเป็นฝีมือของใครกันแน่ เพราะคนทำมาจากหลายสิบกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีเอกลักษณ์ที่ต่างกันไป

“เราเลยต้องลงพื้นที่ เพื่อดึงเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชนออกมา”

เขาเล่าการทำงาน ว่ามีตั้งแต่เอาผ้าเดิมของชุมชนมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ กับออกแบบลายผ้าเอง แล้วสั่งชาวบ้านทอให้ โดยที่กระบวนการทอต่างๆ จะยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของชุมชนไว้ ไม่ไปเปลี่ยนวิถีชุมชน

เจษฎา เข้าวงการผ้าย้อมครามเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน 1 ปีแรกใช้ไปกับการลงพื้นที่ไปสำรวจชุมชน และสามปีแล้วที่มาร่วมพัฒนาสินค้าให้กับแบรนด์ “ครามสกล” โดยเลือกใช้วัตถุดิบจากชุมชนในทุกอำเภอ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย และหลากหลาย ตั้งแต่ กลุ่มของที่ระลึก เสื้อผ้า ผ้าพันคอ และของแต่งบ้าน มีให้เห็นทั้ง เสื้อผ้าชาย-หญิง เสื้อผ้าเด็ก ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ พวงกุญแจ กระเป๋า ของแต่งบ้านเก๋ๆ ชุดเครื่องนอน กระทั่งผ้าผืนที่ลูกค้าสามารถหยิบจับไปทำอะไรก็ได้ โดยวางขายทั้งในหน้าร้านครามสกล ที่สกลนคร และขายผ่านช่องทางออนไลน์ อย่าง Facebook / ครามสกล-Kramsakon เป็นต้น

ราคาผลิตภัณฑ์ มีตั้งแต่ 35 บาท อย่างกลุ่มของที่ระลึก พวกพวงกุญแจ ไปจนแพงสุดก็ขายกันที่ 5.5 หมื่นบาท พวกผ้าขิด ผ้าทอพื้นเมืองของภาคอีสาน ที่บวกความเป็นภูไทผสานกับความเป็นผ้าซิ่น โดยใช้กระบวนการทำที่สุดประณีต และใช้เวลานาน สร้างความพิเศษควรค่าแก่ราคา

กลุ่มสุดท้ายที่ฉีกออกมา คือ “โฮมสเตย์” เขาว่า รับลูกค้าได้เพียง 4 ท่าน เท่านั้น เพราะมีห้องพักเพียง 2 ห้อง ในราคาที่พักรวมอาหารเช้าที่วันละ 850 บาท

ใครอยากมาสกลแต่ไม่ได้ต้องการแค่ท่องเที่ยว ทว่าอยากเก็บเกี่ยวความรู้กลับไปด้วย “ครามสกลโฮมสเตย์” พร้อมเป็นทางเลือกให้ กับรูปแบบกิจกรรมที่เขาอธิบายว่า จะมีการลงพื้นที่ไปในชุมชนที่มีการทอผ้า เพื่อเรียนรู้วิถีผ้าทอแบบเมืองสกล ได้ทานอาหารท้องถิ่น ทำผ้าย้อมคราม และรูปแบบกิจกรรมที่พร้อม “ยืดหยุ่น” รับความต้องการของลูกค้า

“ขึ้นกับว่าเขาจะอยู่กี่วัน และอยากทำอะไร แล้วเราทำอะไรให้เขาได้บ้าง อย่างทริปหนึ่ง มีดีไซเนอร์จากอิตาลี และนักข่าวจากฝรั่งเศส มาพัก เขาอาจไม่ได้อินกับความเป็นครามมากนัก แต่มาอินกับความเป็นธรรมชาติ และวิถีชีวิตของคนที่นี่ ซึ่งรูปแบบกิจกรรมเราจะยืดหยุ่นไปตามความสนใจของเขา”

จุดเริ่มต้นคือการฟื้นภูมิปัญญาของชาวสกล และให้ชุมชนมีช่องทางในการหารายได้ที่ยั่งยืนขึ้น โดยไม่ต้องรอเพียงเทศกาลที่จะทำตลาดหรือขายของได้ หรือรอคอยการช่วยเหลือจากภาครัฐเท่านั้น ในวันนี้งานของเขาก้าวหน้าไปมาก ซึ่งโจทย์สำคัญที่ยังท้าทายอยู่ คือทำอย่างไรให้ชุมชนสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเองได้ แม้ไม่มีพวกเขาแล้ว

“โจทย์ใหม่ของผมคือทำอย่างไรให้ชุมชนยังอยู่ต่อไปได้ โดยไม่ได้ต้องหวังว่า จะมีออเดอร์จากเราเท่านั้น เพราะตอนนี้ทุกคนทำเหมือนเป็นงานที่ฉาบฉวย เลยต้องไปเพิ่มทัศนคติบวกให้กับชุมชน”

เขาจึงลงพื้นที่เพื่อไปสื่อสาร และสร้างความเข้าใจใหม่ให้กับชุมชน

“สิ่งที่เราให้เขาทำไม่มีลิขสิทธิ์ เรากำหนดราคาหน้าร้านแล้วว่าเท่าไร ชุมชนเองก็สามารถขายในราคาเท่าเราได้ โดยที่เราไม่ได้ไปเรียกเก็บเปอร์เซ็นต์กับเขาแต่อย่างใด เขาสามารถพรีเซนต์ตัวเอง ต่อยอดจากที่เราสร้างไว้ เพราะวัตถุดิบก็เป็นของเขา และต่อไปเขาจะสามารถรองรับลูกค้าเขาเองได้ แล้วเราจะไปพัฒนาที่อื่นต่อ” เขาบอกความตั้งใจไว้อย่างนั้น

ในการทำงานเพื่อชุมชน ไม่ได้จบลงแค่เรื่องผ้า หรือการเป็นนักออกแบบให้กับแบรนด์ครามสกล ในวันนี้ “เจษฎา สตูดิโอ” (Jesada studio) ที่เขาก่อตั้งขึ้น ยังคงมุ่งมั่นทำโครงการร่วมกับชุมชน เพื่อเข้าไปฟื้นภูมิปัญญาของชาวสกล โดยไม่ได้จำกัดเพียงแค่เรื่องครามเท่านั้น

“อย่าง กระติบข้าว ทำไมต้องเป็นกระติบใส่ข้าวเหนียวเท่านั้น ทำไมไม่ทำเป็นโถใส่ข้าวเจ้าบ้าง อะไรอย่างนี้ ซึ่งยังมีอีกหลายอย่างมากที่สามารถทำร่วมกับชุมชนได้ โดยไม่เจาะจงว่าต้องเป็นครามเท่านั้น” เขาบอกความฝัน

ชีวิตส่วนหนึ่งทำเพื่องาน ขณะที่อีกภาคส่วนก็เลือกทำเพื่อสังคม เราเลยเห็น เจษฎา ได้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่ไปเยือนสกลอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่น ช่วยประสานงานให้กลุ่มนักศึกษาที่ลงไปทำวิทยานิพนธ์เรื่องผ้าในพื้นที่ ทั้งติดต่อที่พัก แนะนำการเดินทาง ให้ข้อมูล แม้แต่นำลงพื้นที่เพื่อทำกิจกรรมร่วมกับชุมชน เขาบอกว่า

“ติดต่อผมได้ เพราะจังหวัดผม ข้อมูลก็มีอยู่ในมือ ไม่ได้ปิดกั้น ใครอยากเอาไปต่อยอดทำอะไรก็ได้ ผมให้หมด”

ทำงานเพื่อจังหวัดบ้านเกิดมาได้ 4 ปี พอให้เทียบกับงานเดิม เขาบอกตามตรงว่า ได้เงินน้อยกว่ามาก ทว่า “ความสุข” ก็เยอะกว่ามากเช่นกัน

“สำหรับผมความสุขสำคัญ พอทำงานมาเต็มอิ่ม เราจะเริ่มสนุกกับงาน เมื่องานเยอะขึ้น การซื้อขายกว้างขึ้น ผมเชื่อว่าเงินจะไหลเข้ามาเอง เพียงแต่เราจะบริหารยังไงต่อไป จะยังเลือกเงินหรือเลือกความสุข ตอนนี้ผมยังเลือกความสุขอยู่ ส่วนเงินก็กระจายออกไปหาหลายๆ คน โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งที่เราคนเดียว” เขาบอก

ในวันนี้เราเห็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ในสกลนคร รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง พวกเขาลงไปพัฒนาพื้นถิ่นของตัวเองด้วยพลังคนรุ่นใหม่ เลยมีผลิตภัณฑ์มากมาย ที่อวดโฉมอยู่ทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก เจษฎา บอกเราว่า ไม่มีใครตัวเล็กไปที่จะลุกมาทำเรื่องพวกนี้ ถ้าเริ่มจากคำว่า “รัก”

“เราไม่ได้เกิดจากการท้อ แต่เกิดจากความรัก ถ้ารักแล้วทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพียงแต่คุณต้องกล้าก่อน กล้าที่จะทำ แล้วทำในสิ่งที่รัก คุณก็จะพบความสุข และความสุขจะมาพร้อมเงินเอง แต่ถ้าคุณเอาผลลัพธ์ คือ เงินไปเป็นตัวตั้ง แล้วต้องไปเร่งทำงาน เร่งหาเงิน ถึงตอนนั้นสิ่งที่คุณรัก เสน่ห์ในงาน หรือแม้แต่ความสุขก็จะหายไปหมด” เขาเชื่อเช่นนั้น

หนึ่งเสียงของคนรักผ้า ที่ลุกมาทำเพื่อท้องถิ่นของตน ผลตอบแทนจากการทำงาน ไม่ใช่เงินก้อนโต ทว่าคือ “ความสุข” ที่เปี่ยมล้นอยู่เต็มหัวใจเขา