อิชิตันตั้งเป้ารายได้ปี58แตะหมื่นลบ.

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ICHI) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายแตะ 10,000 ล้านบาท ในปีหน้า (2558) หลังจากที่โรงงานเฟส 2 ผลิตได้เต็มปีในปีหน้า ส่งผลให้บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 1 พันล้านขวดและ 200 ล้านกล่องต่อปี ขณะที่ในปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ตามอุตสาหกรรม

"ช่วงนี้อากาศร้อนทำให้ยอดขายออกมาอยู่ในระดับที่ดี โดยเชื่อว่าปีนี้จะเติบโตอย่างน้อย 20% ตามอุตสาหกรรม และมั่นใจว่าพอโรงงานเฟส 2 เดินเครื่องเต็มปีจะผลักดันให้ยอดขายแตะ 1 หมื่นล้านบาทได้ จากปีก่อนที่ทำได้ 6.8 พันล้านบาท ส่วนการเข้าเทรดในตลาดวันนี้ถือว่าพอใจมากกับราคาที่ออกมา ต้องขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ไว้วางใจ ซึ่งเราตั้งมั่นว่าจะทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นทุกท่าน พร้อมยืนยันว่านี่จะเป็นการเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งสุดท้ายในการทำธุรกิจของผม นักลงทุนที่ยังไม่มั่นใจก็ยังไม่ต้องซื้อหุ้นของเราก็ได้ ให้คอยดูว่าการเติบโตของบริษัทฯจะเป็นไปตามอย่างที่ผมพูดหรือไม่ ซึ่งผมมั่นใจจะทำให้ดีที่สุด" นายตัน กล่าว

ขณะที่ไตรมาส 1/57 บริษัทฯมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 43% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 56 ที่อยู่ 42% สะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของธุรกิจชาเขียวพร้อมดื่มภายใต้แบรนด์ ICHI ที่ยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามบริษัทฯจะไม่มุ่งเน้นที่ส่วนแบ่งการตลาด จะเน้นที่กำไรเป็นสำคัญ โดยในปีนี้จะมีแผนลดต้นทุนต่างๆ เพื่อให้มีอัตรากำไรสุทธิมากกว่าปีก่อนที่ 14% เบื้องต้นปีนี้จะลดสัดส่วนการว่าจ้างผลิต (OEM) ให้เหลือต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่ 25% และในปีหน้าจะพยายามลดให้เหลือต่ำกว่า 5% ซึ่งเป็นแผนการลดต้นทุนที่เห็นผลอย่างมีนัยสำคัญ

ด้านนายเล็ก สิขรวิทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทที่ปรึกษาเอเซียพลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน คาดว่าราคาหุ้น ICHI จะสามารถยืนอยู่ระดับเหนือจองได้ในการซื้อขายวันนี้ เนื่องจากเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งในช่วงที่มีการเปิดจองซื้อหุ้นมีดีมานด์สูงกว่าจำนวนหุ้นที่เปิดจองซื้อ โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย ขณะที่ศักยภาพบริษัทฯมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีการทำการตลาดที่ยอดเยี่ยม และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดชาพร้อมดื่มอย่างแท้จริง

ล่าสุดเมื่อเวลา 12.30 น. ราคาหุ้น ICHI อยู่ที่ 16.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 26.92% จากราคาจองที่ 13 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,895 ล้านบาท