“สคส.” SE ผู้จัดการความรู้เพื่อสังคม

“สคส.” SE ผู้จัดการความรู้เพื่อสังคม

“สคส.”ไม่ได้ทำหน้าที่ “ส่งความสุข”แต่พันธกิจสำคัญของพวกเขา คือ ส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม ด้วยเครื่องมือที่ชื่อ “KM”

สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม หรือ สคส. คือหนึ่งกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise : SE) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับผู้คนในสังคม ด้วยทุนทางปัญญาทั้งที่มีอยู่เดิมและพัฒนาเพิ่มเติมขึ้น ด้วยเครื่องมือการจัดการความรู้ (KM) ตลอดจนพัฒนาเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อให้คนไทยในทุกหย่อมหญ้า สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่าง “มีสติ” และ “มีความสุข”

องค์กรน้ำดีถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2545 ยุคเริ่มต้นได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นเวลา 3 ปี และดำเนินการต่ออีก 2 ปี ด้วยทุนที่ยังเหลืออยู่ จนเข้าสู่ปีที่ 6 หลังจบโครงการและไม่มีทุนสนับสนุนต่อ จึงพัฒนาตัวเองสู่กิจการเพื่อสังคม เพื่อใช้โมเดลทางธุรกิจขับเคลื่อนอุดมการณ์เพื่อสังคมให้ยั่งยืนและอยู่รอด

11 ปี ที่ผ่านมา สังคมไทยเข้าใจใน “การจัดการความรู้” มากน้อยแค่ไหน? คำถามสุดท้าทายสำหรับคน สคส.

“KM ไม่ใช่ตัวความรู้ แต่คือเครื่องมือ กระบวนการ หรือเทคนิคในการจัดการความรู้ คนที่เรียนจะต้องเข้าใจถึงแก่น จึงสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้ ซึ่งที่ผ่านมา ข่าวร้ายก็คือ ผมเชื่อว่าองค์กรหรือชุมชนยังมีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก ที่เข้าใจในแก่นการจัดการความรู้ แล้วกล้าพอที่จะไปสร้างโมเดลของตัวเอง จนสามารถทำในแบบ “ไร้กระบวนท่า” ได้” “ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด” ผอ.สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม หรือ สคส. บอกโจทย์หนักตลอดการทำงานที่ผ่านมา

“ไปๆ มาๆ 11 ปี ก็เจอว่าคนยังย่ำอยู่ตรงนี้ ยังไม่เข้าใจ และเกินครึ่งที่ทำ KM เพื่อ KPI เท่านั้น ทั้งที่เป้าหมายจริงๆ คือ ทำให้งานดี ผู้รับบริการหรือลูกค้าชื่นชม มีผลิตภัณฑ์ที่ดี โปรดักทิวิตี้สูง แต่เมื่อเขาจะทำ KM เพื่อ KPI เลยกลายเป็นภาระและไม่มีพลังที่แท้จริง”

เมื่อวิธีการสอนให้ตกปลาแบบเดิมๆ แม้เข้าใจง่าย แต่ยังทำให้คนเข้าใจ “ไม่สุด” พวกเขาจึงต้องพัฒนาโมเดลที่เข้าถึงหัวใจของการจัดการความรู้มากขึ้น ใน 3 สเต็ปสำคัญ นั่นคือ “การจัดการความรู้” สู่ “ความรู้สึก” และ “ความรู้สึกตัว”

“ช่วงแรกเราสอนเรื่องการจัดการความรู้ ต่อมาก็ไฮไลท์คำว่าจัดการความรู้สึก เพราะถ้าคนเรารู้สึกไม่ดีต่อกัน ไม่อยากแบ่งปันกัน ความรู้ก็จะไม่เกิดขึ้น ฉะนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ อย่างพี่ใกล้เกษียณก็อยากสอนงานน้อง อยากแบ่งปัน ไม่หวงวิชา น้องใหม่ก็เปิดรับ นั่นคือสิ่งสะท้อนว่า “ความรู้สึก” ทำให้เกิด ความรู้”

จนวันนี้ก็พัฒนาไปอีกขั้น สู่การจัดการ “ความรู้สึกตัว”

“นี่ไม่ใช่แค่ความรู้ขององค์กร หรือความรู้สึกระหว่างกลุ่ม แต่กลับมาที่ตัวบุคคล ถ้าเขาขาดสติ ไม่มีความรู้สึกตัว มี อีโก้ ไม่ยอมฟังกัน ฟังแต่เสียงในหัวของตัวเอง โดยไม่รู้ตัว ซึ่งเสียงภายในหัวดังกว่าข้างนอกอยู่แล้ว ก็ต้องหาวิธีให้เขาตื่นรู้มากขึ้น รู้สึกตัวมากขึ้น โดยยังใช้กระบวนการเดิม คือเราเป็น “วิทยากรกระบวนการ” เพื่อเชื่อมต่อ ความรู้ มาเป็นความรู้สึก จนเกิดเป็นความรู้สึกตัว แล้วความรู้ดีๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา”

เป้าหมายที่จะนำไปสู่การพัฒนารูปแบบบริการ ทั้งการทำเวิร์คช้อป จัดกิจกรรม โดยดีไซน์ให้สอดรับและเหมาะสมกับผู้รับบริการของพวกเขา ซึ่งครอบคลุมทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือแม้แต่ชุมชน

ด้วยรูปแบบของกิจการเพื่อสังคม ไม่ใช่ “มูลนิธิ” หรือ “องค์กรการกุศล” ทำให้ต้องคิดค่าใช้จ่ายในการให้บริการ และจัดรูปแบบองค์กรให้เป็นมืออาชีพขึ้น ที่สำคัญต้องให้สามารถรับมือกับคู่แข่งขันในตลาดได้ด้วย

“ช่วงแรกไม่ค่อยมีคู่แข่งเท่าไร แต่ตอนนี้ก็เยอะขึ้น ทั้งในรูปของบริษัทที่ปรึกษา และบริษัทบิ๊กเนมจากต่างประเทศ อย่างเครือใหญ่ๆ เขาก็อยากได้มืออาชีพจากต่างประเทศ จะสู้กับเขาเราก็โดนเบียดได้เหมือนกัน แต่ผมมองว่า ด้วยชื่อเสียงของเรา ด้วยประสบการณ์ และความชำนาญทางด้านนี้ เป็นภาษีให้เรา ซึ่งบริการของเราไม่ใช่ถูกกว่า หรือถูกที่สุด แต่เรามีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ จึงมีศักยภาพที่จะสู้กับบริษัทที่ปรึกษาต่างๆ ได้”

ทว่าปัญหาสำคัญ ของคนถนัดทำงานภาคสังคม มากกว่าธุรกิจ คือความอ่อนด้อยด้านการตลาด เขายอมรับว่าช่วงแรกๆ ทีมงานต่างก็ขัดๆ เขินๆ ที่จะต้องทำเรื่องพวกนี้ให้เป็นธุรกิจ แต่ก็ต้องผ่านการปรับตัวและช่วยกันพยุงตัวเลขทางบัญชีให้อยู่รอด โดยเป้าหมายต่อไปคือต้องมาทำการตลาดให้มากขึ้น ให้สคส.เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ปรับเว็บไซต์ให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น พร้อมรับมือกับการมาถึงของเออีซี ซึ่งเขามองว่าเป็นโอกาสของสคส.ที่จะให้บริการกับองค์กรในไทยและต่างประเทศที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้น

“รายได้ที่เข้ามาหลังเปลี่ยนมาเป็นกิจการเพื่อสังคม ก็ยังปริ่มๆ อยู่ ในบางเดือนยังเป็นตัวแดง หลายท่านจึงมองว่าเราต้องขยายงาน เพื่อให้บริการได้เยอะขึ้น และทำในรูปของบริษัทเพื่อสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เราคงต้องปรับตัว แต่การจะปรับก็ต้องเอาชนะความคิดของพวกเราเองเสียก่อน จากที่คิดว่า Small is beautiful อยู่แบบเล็กๆ ดีกว่า เพราะเราไม่ได้คิดร่ำรวยอยู่แล้ว ทำเท่านี้ก็มีความสุขแล้ว..แต่เราจะอยู่รอดได้หรือไม่ ถ้าคิดเท่านี้”

เขาบอกทางหลายแพร่งที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ

และนั่นคือโจทย์หนักที่จะต้องเลือกระหว่าง “ย่ำอยู่กับที่” หรือปรับตัวเองเพื่อเติบโต แม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับงานหนัก อย่างการบริหารจัดการที่ยุ่งยากขึ้น ตลอดจนความยากในการสร้างคนใหม่ๆ มาร่วมทางเดิน โดยต้องมีพลังศรัทธา มีจิตอาสา และอุดมการณ์เปี่ยมล้น ได้เหมือนทีมงานรุ่นบุกเบิกของพวกเขา

ขณะที่เป้าหมายของสคส. ซึ่งพวกเขาตระหนักดี คือ การส่งเสริมให้เกิดการจัดการความรู้ในทุกหย่อมหญ้า โดยที่ให้ทุกคนอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสคส. แต่ถ้าจะคิดแบบธุรกิจ นี่ก็คือการคิดแบบฆ่าตัวตายชัดๆ

“เหมือนกับเราเป็นหมอ ถ้าจะให้กิจการอยู่ได้ก็ต้องเลี้ยงไข้เขา แต่นี่เราอยากให้ทุกคนแข็งแรง ซึ่งถ้าเขาแข็งแรง เราก็ไม่มีงานทำ ก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย อุดมการณ์ลึกๆ คงต้องเป็นอย่างนี้ แต่เราจะยึดมั่นอยู่หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ต้องตัดสินใจ”

บนจุดยืนตรงทางหลายแพร่ง ยังมีทางเลือกมากมายรออยู่ตรงหน้า รอเพียงการตัดสินใจของพวกเขา ว่าจะย่ำรอยเท้าไปบนเส้นทางไหน เพื่อให้พันธกิจจัดการความรู้เพื่อสังคม บรรลุเป้าหมายสมความตั้งใจอย่างแท้จริง