มูลนิธิ เอสซีจี ปั้น “เด็กช่าง” มา “สร้างชาติ”

มูลนิธิ เอสซีจี ปั้น “เด็กช่าง” มา “สร้างชาติ”

“เด็กช่าง สร้างชาติ”หนึ่งผลิตผลจากมูลนิธิเอสซีจี เพื่อให้โอกาสเด็กสายช่าง และเปลี่ยนทัศนคติผู้คนให้มองเด็กช่างอย่างเข้าใจมากขึ้น

“การศึกษาเป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง ที่จะนำพาคนหนึ่งคน ให้สามารถประกอบสัมมาชีพ เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวและมีความสุขได้”

“สุรนุช ธงศิลา” กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ตอกย้ำจุดยืนของมูลนิธิเอสซีจี ในมิติการสนับสนุนด้านการศึกษา ตามนโยบายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทุกช่วงวัย เพื่อให้บุคลากรของประเทศสามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้ง ซึ่งดำเนินการมากว่า 30 ปี และมอบทุนการศึกษาไปแล้วกว่า 60,000 ทุน

วิธีคิดในการมอบทุนการศึกษาแบบเอสซีจี ไม่ใช่เพียงการให้แล้วจบไป หรือวัดกันที่ปริมาณทุนที่แจกจ่าย แต่มองไกลถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ด้วยการเน้นมอบทุนต่อเนื่องให้น้องๆ ได้เดินถึงฝั่งฝัน สามารถเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป ที่สำคัญไม่ได้เน้นแค่กลุ่มเด็กเก่ง แต่ครอบคลุมไปถึงเด็กเรียนด้อย แต่ใฝ่ดีด้วย

“เรามองว่าเด็กเรียนดี แต่ยากจนนั้น มีคนมอบทุนไปเยอะมากแล้ว แต่สำหรับเด็กที่เรียนไม่ได้ดีมาก แต่ฐานะยากจน ยังขาดโอกาสและมีช่องว่างอยู่ และเราก็ต้องการปิดช่องว่างนั้น”

ผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี บอกแนวคิดของพวกเขา ที่ต้องการปิดช่องว่างบางอย่างในสังคม หนึ่งในนั้นคือ ค่านิยมของสังคมไทยที่ยังมีความเชื่อว่าเด็กต้องจบปริญญาตรี แต่ปัญหาที่เกิดกับเด็กเรียนไม่เก่ง ก็คือ มักไม่ได้เรียนในสาขาที่เป็นมิติทางเศรษฐกิจ นั่นทำให้แม้เรียนจบปริญญาตรีแต่ก็ยังหางานทำไม่ได้ เพราะสาขาที่จบมาไม่เป็นที่ต้องการของตลาด หรือบางคนก็อาจถูกจ้างต่ำกว่าวุฒิการศึกษาที่จบมาด้วยซ้ำ

“นี่เองที่ทำให้เรากลับมาทบทวนว่า น่าจะมีกระบวนการศึกษาอื่น ที่จะทำให้เด็กเข้าใจชีวิตมากขึ้น ให้เขาเข้าใจว่า การศึกษาเป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง ที่จะทำให้เขาสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ แต่ไม่ใช่จุดหมายของชีวิต เราจึงหันมามองที่เด็กอาชีวะสายช่างอุตสาหกรรม”

การหันมาสนับสนุนเด็กช่างนอกจากต้องการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม ที่ยังติดตาว่าเด็กอาชีวะชอบใช้ความรุนแรง และถ้าเรียนไม่เก่งก็ไปเรียนอาชีวะ แต่อยากให้สังคมเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ว่า ยิ่งเด็กเรียนเก่งมาเรียนอาชีวะก็จะยิ่งดีต่อตัวของเขา และแม้เรียนไม่เก่งในสายสามัญ แต่ก็อาจค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองในสายช่างและทำได้ดีมากก็เป็นได้
“เราอยากท้าทายสังคมในประเด็นนี้” เธอบอก

จุดแข็งสำคัญของเด็กอาชีวะ คือการมีทักษะ และความสามารถในการทำงาน ที่เรียนรู้มาตั้งแต่สมัยเรียน ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้เด็กกลุ่มนี้เมื่อจบออกมาแล้วก็มักหางานทำได้ทันที จึงสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ ตรงตามเป้าประสงค์การสนับสนุนด้านการศึกษาของพวกเขา

เงื่อนไขของการรับทุน ก็เพียงสามารถเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาช่างอุตสาหกรรม ในปีการศึกษา 2556 มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียร เกรดเฉลี่ยสะสม (GPA) ม.1-ม.3 ไม่ต่ำกว่า 2.7 ซึ่งจะพิจารณาควบคู่ไปกับผลคะแนน O-NET ประจำปีการศึกษา 2555 โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 500 ทุน เม็ดเงินประมาณ 10 ล้านบาท

“สิ่งที่เราคิดต่อไปคือ นอกจากให้เด็กไปทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทต่างๆ เราน่าจะส่งเสริมให้เขาไปเป็นเจ้าของกิจการได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำต่อไป คือส่งเสริมทักษะในการเป็นผู้ประกอบการให้กับเขา เช่น เติมองค์ความรู้เรื่องการบริหารจัดการ บัญชีและการเงิน รวมถึงทักษะด้านภาษาอังกฤษ มาเพิ่มเติมให้กับนักเรียนทุนของเรา”

พวกเขาบอกหมาย และตอกย้ำให้เห็นภาพด้วยการนำรุ่นพี่เด็กช่าง ที่วันนี้ได้เป็นเจ้าของกิจการ 100 ล้าน อย่าง “เฉลิม สุขสวัสดิ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด มาปันประสบการณ์ ด้วยวุฒิการศึกษาระดับ ปวช. ที่วิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรี สาขาช่างกลโรงงาน กับความรู้ที่สั่งสมตลอด 3 ปี ของการเรียน ซึ่งจัดเต็มทั้งทักษะการลงมือปฎิบัติจริง ทำให้เขาพร้อมสำหรับทำงานจริงจนสามารถเปิดบริษัทร่วมกับเพื่อนๆ และประสบความสำเร็จในวันนี้

“ข้อได้เปรียบจากการเรียนในสาขาช่างกลโรงงาน คือ มีทักษะในการเขียนและอ่านแบบ รวมถึงคำนวณราคาเองได้ ซึ่งจำเป็นมากสำหรับธุรกิจรับเหมา ประกอบ และติดตั้ง ในปัจจุบันมีงานในตลาดนี้มากมาย แต่ก็ยังขาดผู้ที่เชี่ยวชาญจริงๆ รับประกันได้ว่าหาก มุ่งมั่น ตั้งใจ และวางแผนชีวิตที่ดี ความสำเร็จก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม” เขาบอกน้องๆ

หรืออย่างศิลปินดารา มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ ก็เป็นอดีตนิสิตมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ที่บอกเราว่าเริ่มสร้างบ้านเองเป็นตั้งแต่อยู่ ปวช. ปี 3 ซึ่งอายุเพียง 16 ปี ซึ่งการทำงานในสนามจริงที่ต้องอดทนและรับผิดชอบสูง ยังเป็นทักษะติดตัวมาใช้กับงานในวงการบันเทิง และดูแลกิจการก่อสร้างของครอบครัวด้วย

ความพยายามเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ว่าจะเป็นมิติใดๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย หรือจะเห็นผลได้ในชั่วข้ามคืน แต่สำหรับมูลนิธิเอสซีจี พวกเขาบอกว่า หัวใจสำคัญที่จะทำให้ไฟในการทำงานเพื่อสังคมยังอยู่ยืนหยัดได้และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ “พนักงาน” ที่มีดีเอ็นเอเพื่อสังคมอยู่เต็มขั้น และทำงานอย่างมืออาชีพ

“เรามองการทำงานทุกอย่างต้องเป็นมืออาชีพ แม้แต่มูลนิธิ ก็ไม่ใช่แค่มาทำบุญ แต่ต้องคิดในเชิงความเป็นมืออาชีพ ทำงานอย่างเข้มข้น ตั้งอกตั้งใจ มีเป้าหมาย มีความเชื่อ มีแผนงานในการทำ และการใช้เงินอย่างรอบคอบไม่ต่างจากการทำงานในบริษัทๆ หนึ่ง นอกจากพนักงานในมูลนิธิที่มีอยู่ 15-20 คน เรายังมีเพื่อนพนักงานเอสซีจีที่มีจิตอาสามาช่วยเราด้วย ซึ่งการทำงานภาคสังคม เหมือนอยู่ในดีเอ็นเอคนเอสซีจีไปแล้ว”

หนึ่งวิธีคิดในการปลูกฝัง “จิตอาสา” ให้กับพนักงาน คือเปิดโอกาสให้เสนอโครงการช่วยสังคมขึ้นมา โดยในแต่ละปีมูลนิธิฯ จะมีโครงการกว่า 100 โครงการ ที่เกิดขึ้นจากไอเดียของพนักงานเอสซีจี

เขายกตัวอย่าง การมอบทุนการศึกษาที่เปิดโอกาสให้พนักงาน เอสซีจี ได้ร่วมเสนอรายชื่อของเด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยมักเป็นเด็กในบ้านเกิดของตัวเอง และเมื่อเด็กคนนั้นถูกพิจารณาให้ทุน พนักงานท่านนั้นก็จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ คอยดูแลผลการเรียนให้น้องๆ ตรวจสอบเอกสาร และติดต่อน้องๆ อย่างต่อเนื่องด้วย

“วิธีนี้เราเองก็ได้ใจพนักงาน และเขาก็ยังภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยเหลือคนในภูมิลำเนาของตัวเองด้วย ทำให้ครอบครัวชื่นชมยินดี จะเห็นว่าเงินก้อนเดียวกัน ผลเหมือนเดิมทุกอย่าง เด็กยังได้เรียนหนังสือ เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการใหม่ ซึ่งนั่นทำให้ตอบทั้ง พนักงาน บริษัทและสังคมไปพร้อมกันด้วย” พวกเขาสะท้อนวิธีคิดใหม่ ของการทำเพื่อสังคม

ตัวอย่างการทำงานเพื่อสังคมขององค์กร ที่เพียงเลือกเปลี่ยนวิธิคิด ก็ส่งผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อธุรกิจและสังคม