พาณิชย์ตั้งเป้า ‘ส่งออก’ 2.9 แสนล้านดอลล์

เป้าหมายการส่งออกปี 2566 ได้ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.พาณิชย์) ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเป็นปัจจัยหลักที่กระทบการส่งออกไทย โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก อาทิ สหรัฐ ญี่ปุ่น ยุโรป ที่กำลังซื้ออ่อนแอจึงตั้งเป้าการส่งออกขยายตัว 1-2%

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ระบุ เป้าหมายการส่งออกปี 2566 ได้ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.พาณิชย์) ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเป็นปัจจัยหลักที่กระทบการส่งออกไทย โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก อาทิ สหรัฐ ญี่ปุ่น ยุโรป ที่กำลังซื้ออ่อนแอจึงตั้งเป้าการส่งออกขยายตัว 1-2% น้อยกว่าปี 2565 ที่ตั้งไว้ 4% โดยหากขยายตัวได้ 1% จะมีมูลค่า 289,938 ล้านดอลลาร์ ส่วนขยายตัว 2% จะมีมูลค่า 292,809 ล้านดอลลาร์ เพราะมีแรงเสียดทานทางลบหลายปัจจัย ประกอบด้วย

1.ปัจจัยเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศตลาดหลักกระทบการส่งออก 2.คาดการณ์ว่าไตรมาสแรกปี 2566 อาจมีสต็อกสินค้าที่นำเข้าจากหลายประเทศในโลกของตลาดหลักอาจชะลอการสั่งซื้อหรือนำเข้า 3.ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงและไม่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าต้นทุนการผลิตสำคัญของภาคการผลิต 4.ค่าเงินบาทของเรามีแนวโน้มเริ่มแข็งขึ้นทำให้ศักยภาพการแข่งขันสินค้าไทยในตลาดโลกยากขึ้น เพราะจะแพงกว่าคู่แข่ง

อย่างไรก็ตามการส่งออกไทยมีปัจจัยบวก คือ ระบบขนส่งสินค้าเริ่มปกติ ความต้องการอาหารโลกยังมีเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร และตลาดศักยภาพบางตลาดรองรับการส่งออกไทยได้ โดยเฉพาะ 4 ตลาดหลัก คือ ตลาดตะวันออกกลาง อาจขยายตัวได้ 20 % ตลาดเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ คาดว่าขยายตัว 10% ตลาด CLMV คาดว่าขยายตัว 15% และตลาดจีนขยายตัวได้ 1%

ด้านประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สนั่น อังอุบลกุล ระบุ ภาคเอกชนตั้งวอร์รูมติดตามตัวเลขส่งออกตลอดเวลา มั่นใจว่าปีนี้ส่งออกจะไม่ติดลบแน่นอน ขณะที่ประเทศอื่นติดลบ ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่าเกิดจากกองทุนต่างประเทศไม่มีที่ไป เพราะตลาดยุโรปและสหรัฐมีความเสี่ยงจึงทำให้เงินไหลเข้าไทยมากทำให้เงินบาทแข็งค่าเร็ว ส่วนระยะยาวคาดไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร

 

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เกรียงไกร เธียรนุกุล ระบุ เป้าการส่งออกปี 2566 จะขยายตัว 1-2% เป็นตัวเลขใกล้เคียงที่ ส.อ.ท.ประเมินไว้ แม้มีความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่เชื่อว่าการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการเปิดตลาดจะช่วยชดเชยการส่งออก เช่น ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ปีนี้ปัญหาเรื่องขาดแคลนชิปคลี่คลายลงแล้ว ส่วนปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนต้องติดตามใกล้ชิดแต่คงไม่มีผลต่อราคาพลังงานนัก เพราะผ่านจุดพีคแล้วส่วนค่าเงินบาทยอมรับว่าแข็งค่าเร็ว แค่ 2-3 เดือน แข็งขึ้นมาเกือบ 20% 

 

สรท.จี้แบงก์ชาติสกัดบาทแข็ง

ด้านประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. ชัยชาญ เจริญสุข ระบุ ปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วกระทบผู้ผลิตเพื่อส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรและกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูง ซึ่งปีที่ผ่านมาการส่งออกเติบโตดีเพราะเงินบาทอ่อนค่า แต่มูลค่าส่งออกหดตัวในไตรมาส 3-4 ของปี 2565 และต่อเนื่องไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อเงินบาทกลับมาแข็งค่าจึงมีข้อเสนอต่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 4 ข้อ คือ

1.ขอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญทั้งซัพพลายเชน และซ้ำเติมผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เช่น วัตถุดิบ ค่าไฟฟ้า ค่าแรงขั้นต่ำ 2.ขอให้ ธปท.ดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นเพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ หรือไม่แข็งค่ากว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง 

3.ขอให้ ธปท.กำหนดมาตรการและเครื่องมือตรวจสอบกระแสเงินไหลเข้าเร็ว รวมถึงขอความร่วมมือสถาบันการเงินให้ติดตามข้อมูลโอนเงินบาทระหว่างบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ ซึ่งมีสัญญาณของธุรกรรมการเงินต่างประเทศเริ่มหนาแน่นกว่าปกติ 4.ขอให้ ธปท.และธนาคารพาณิชย์ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง

 

ส่งออกปี 65 ทะลุเป้าโต 5.5% 

สำหรับการส่งออกรวมทั้งปี 2565 ขยายตัว 5.5% รวมมูลค่า 287,067 ล้านดอลลาร์ เป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำและยุทธปัจจัยทำให้การส่งออกขยายตัว 4.7% ถือว่ายังทำได้ดีเพราะปี 2565 กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายที่ 4% แต่ปีทำได้เกินเป้าหมาย ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 303,190 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.6% ขาดดุลการค้า 16,122 ล้านดอลลาร์

ปัจจัยหลักที่ทำให้การส่งออกปี 2565 ขยายตัวสูง คือ การผลักดันการส่งออกเชิงรุกและเชิงลึกตลาดใหม่ร่วมกับเอกชน การเร่งเปิดด่านชายแดนหลังปิดทำการชั่วคราว เพราะโควิด-19 ทำให้การส่งออกชายแดนขยายตัวดี รวมถึงทั่วโลกเร่งหาแหล่งสำรองอาหาร และปัญหาโลจิสติกส์คลี่คลายทั้งค่าระวางเรือที่ลดลงสู่ภาวะปกติ รวมทั้งตู้คอนเทนเนอร์มีปริมาณเพียงพอ

สำหรับสินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูงในปี 2565 จำนวน 10 รายการ ได้แก่ 1.น้ำตาลทราย 2.เครื่องโทรสารโทรศัพท์และส่วนประกอบ 3.อัญมณีและเครื่องประดับ 4.ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ 5.หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 6.อุปกรณ์กึ่งตัวนํา ทรานซิสเตอร์ และไดโอด 7.ไก่แปรรูป 8.ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง 9.ไอศกรีม 10.อาหารสัตว์เลี้ยง 

ส่วนตลาดที่ขยายตัวสูง 10 ลำดับแรก ได้แก่ 1.ตะวันออกกลาง 2.สหราชอาณาจักร 3.แคนาดา 4.สหรัฐ 5.CLMV 6.เอเชียใต้ 7.อาเซียน (5 ประเทศ) 8.ลาตินอเมริกา 9.สหภาพยุโรป 10.ทวีปออสเตรเลีย ในขณะที่รัสเซียจากผลสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้การส่งออกปีที่แล้วติดลบ 43.3% เหลือมูลค่าส่งออกเพียง 585 ล้านดอลลาร์ จากปี 64 ที่ทำได้ 1,032 ล้านดอลลาร์