วัดใจศาลตัดสินปมนายกฯ 8 ปี ชี้ชะตาอนาคตหุ้นไทย

วัดใจศาลตัดสินปมนายกฯ 8 ปี ชี้ชะตาอนาคตหุ้นไทย

อุณหภูมิทางการเมืองกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 เสียง รับคำร้องของประธานสภาผู้แทนราษฎร กรณีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งคงต้องรอไปอีกราวๆ 1 เดือน

โดยได้มีการแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกฯ ขณะที่ ครม. ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ จึงไม่น่าส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไปจนกว่าจะมีคำตัดสินของศาล ซึ่งแน่นอนว่ามีโอกาสเป็นไปได้หลายแนวทาง

ทั้งไม่ขัดรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ หรือ สิ้นสภาพจากการเป็นนายกฯ และต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นเมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองเกิดขึ้นย่อมส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนอย่างเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนควรต้องติดตามประเด็นทางการเมืองอย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

โดยบล.กสิกรไทย ระบุว่า หลังศาลฯ มีมติรับคำร้องกรณีนายกฯ 8 ปี ประเมินแนวทางที่เป็นไปได้ ดังนี้

1.) พล.อ.ประวิตร ในฐานะนายกฯ รักษาการ ตัดสินใจยุบสภาก่อนทราบผลคำตัดสิน

2.) รอศาลตัดสิน ซึ่งมี 2 ทางเลือก ได้แก่ 

 

2.1) ศาลตัดสินว่านายกฯ มีวาระครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 แล้วเลือกนายกฯ คนใหม่มาทำหน้าที่ ก่อนที่รัฐบาลจะมีวาระครบ 4 ปี ในเดือน มี.ค. 2566

2.2) ศาลตัดสินว่านายกฯ มีวาระดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 และนายกฯ รักษาการตัดสินใจยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าในช่วงนี้จะเกิดภาวะ Overhang กับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือสัมปทานของรัฐ เช่น กลุ่มรับเหมา, ขนส่งทางราง, โรงไฟฟ้า และสื่อสาร เป็นต้น จากความเสี่ยงเรื่องการยุบสภาอาจทำให้ดีลต่างๆ เกิดความล่าช้า

แต่อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด เพราะรัฐบาลได้ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2566 แล้ว จึงไม่มีผลกระทบหากมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่

โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าหากมองข้ามไปถึงการเลือกตั้งใหม่ กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ คือ กลุ่มที่เน้นการบริโภคในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก, ร้านอาหาร, สื่อ และการเงิน

วัดใจศาลตัดสินปมนายกฯ 8 ปี ชี้ชะตาอนาคตหุ้นไทย

ด้านบล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ประเมิน 2 แนวทางที่เป็นไปได้หลังจากนี้ 

1.) พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสภาพจากการเป็นนายกฯ เนื่องจากดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีตามรัฐธรรมนูญ คาดนายกฯ รักษาการจะประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ในกรณีนี้ มองว่า SET น่าจะปรับขึ้นในกรอบระหว่าง 1,600-1,700 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นค้าปลีก CPALL, BJC, CRC, CPN และหุ้น STEC, CK, STPI, FORTH, FSMART, GULF

2.) ศาลฯ ตัดสินให้นายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ต่อ เนื่องจากไม่ขัดรัฐธรรมนูญ กรณีนี้ SET น่าจะแกว่งในกรอบ 1,580-1,660 จุด แนะนำซื้อหุ้นท่องเที่ยว AOT, MINT, CENTEL, ERW, KBANK, SCB, KTB

ส่วน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ประเด็นที่ต้องติดตามหลังจากนี้ คือ การพิจารณาร่างงบประมาณปี 2566 ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของ ส.ว. จะต้องแล้วเสร็จภายใน 20 วัน ตั้งแต่รับร่างฯ และควรที่จะต้องผ่านร่างงบประมาณให้แล้วเสร็จ กรณีผ่านร่างงบประมาณปี 2566 ไม่ได้ต้องกลับไปอิงงบประมาณปี 2565 มาเบิกจ่ายชั่วคราว จะกระทบความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายต่างๆ และสร้าง Downside ต่อคาดการณ์จีดีพีไทยของฝ่ายวิจัย

รวมถึงหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองก่อนช่วงเวลาดังกล่าว เช่น ศาลฯ วินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์ พ้นจากตำแหน่ง และครม.ทั้งหมดพ้นจากตำแหน่ง นายกฯ รักษาการมีอำนาจยุบสภาได้ 

ซึ่งในกรณีที่มีการยุบสภา ประเมินว่าตลาดจะตอบรับเชิงลบระยะสั้นกว่าในอดีต เบื้องต้นคาดราว 1-2 วัน SET อาจติดลบในกรอบ -1.55% ถึง -3.33% (อิงผลกระทบตลาดช่วง 1 สัปดาห์-2 สัปดาห์ของการยุบสภา 6 ครั้งหลังสุด) ก่อนค่อยๆ ฟื้นตัว รับการเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง

กลยุทธ์ภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น หากหุ้นปรับฐาน เน้นตั้งรับธีมการลงทุนระยะกลางยาวที่น่าสนใจ ได้แก่

- กลุ่มอุปโภคบริโภค (CPALL, MAKRO, HMPRO, SNNP, ADVANC, TIDLOR, KBANK, BBL, TLI)

- กลุ่ม Anti-Commodities (SCGP, GPSC, SCC, TOA, GULF, SAPPE)

- กลุ่ม High Growth (JMT, SINGER, BE8)

- กลุ่มบริการที่มี Upside จากผู้ป่วยต่างชาติ (BDMS, BCH)

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า หากอิงสถิติการยุบสภา 7 ครั้งล่าสุด SET Index ปรับตัวลงเฉลี่ย -4.6% (ปรับลง 6 ใน 7 ครั้ง) หลังผ่านไป 1 เดือน ก่อนจะรีบาวด์ขึ้นมาเหลือลบเฉลี่ย -0.4% หลังผ่านไป 3 เดือน แต่การเคลื่อนไหวค่อนข้างแตกต่างกันในแต่ละครั้ง

แม้สถานการณ์ปัจจุบันจะยังไม่เสี่ยงถึงขั้นยุบสภาในเร็วนี้ๆ หลังศาลฯ ให้พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่จะยังเป็นปัจจัย Overhang ตลาดหุ้นไทยเล็กน้อย 

ส่วนกรณียุบสภาเลือกตั้งใหม่หุ้นที่จะได้ประโยชน์ คือ หุ้นการบริโภคจากเม็ดเงินที่สะพัดก่อนการเลือกตั้ง ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก, ร้านอาหาร, อาหารและเครื่องดื่ม