'ประยุทธ์' ชูพลังงานสะอาด - รถ EV ผลักดันเป้าหมายไทยมุ่งสู่ 'เน็ตซีโร' ปี 2608

'ประยุทธ์' ชูพลังงานสะอาด - รถ EV ผลักดันเป้าหมายไทยมุ่งสู่ 'เน็ตซีโร' ปี 2608

"ประยุทธ์" ย้ำเป้าหมายประเทศสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 พร้อมสนับสนุนทุกนโยบายคาร์บอนต่ำผ่านกลไกนโยบายรัฐ พร้อมร่วมมือเอกชน นานาประเทศ

วันนี้ (5 สิงหาคม 2565) เวลา 10.10 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC) จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด“อนาคตไทย อนาคตโลก: โอกาสและความรับผิดชอบ (Our Future: Our Responsibility, Our Opportunity)”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “เป้าหมาย Net Zero 2065 เพื่อการเติบโตของไทยในเวทีโลก ว่า รัฐบาลมีเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2608 ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบทวีความรุนแรงมากขึ้นต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียส 

นายกรัฐมนตรีมองว่า ประชาคมโลกต้องเร่งยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะส่งผลให้นานาประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการผลิตสินค้าอาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นที่ประชากรทั่วโลกจะประสบกับภาวะขาดแคลนอาหาร และภัยธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น World Economic Forum : WEF จึงได้กำหนดให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามระยะยาวของโลกที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อการดำเนินเศรษฐกิจระดับมหภาค

ที่ผ่านมา ประชาคมโลกได้พยายามยกระดับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส  และพยายามควบคุมให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกลงร้อยละ 45 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิต้องเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 พร้อมทั้งสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น ควบคู่กันไปอย่างสมดุล

ไทยรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและกระทันหัน เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ซึ่งล้วนแต่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ในปี 2564 ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงสุด เป็นลำดับที่ 9 ของโลก ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมแล้วนับแสนล้านบาท ในวันนี้ ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติต่าง ๆ อย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้กำหนดทิศทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืนในทุกมิติร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทต่าง ๆ ที่มุ่งสู่การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ

ครอบคลุม 3 องค์ประกอบที่สำคัญ คือ

(1) การลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาวที่สอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

(2) การปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

และ (3) สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนามาตรการทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการคลัง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับตัวสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่แสดงเจตนารมณ์ต่อ United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC 

ในทางเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจ BCG Economy เป็นกลไกหลักสร้างความสมดุลของไทย ทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลได้นำมาตรการการเงินสีเขียว มาผลักดันการลงทุนในนวัตกรรมและธุรกิจสีเขียว นอกจากนี้ ได้ปรับรูปแบบทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตไฟฟ้าของประเทศ เร่งการเพิ่มสัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ให้ไทยเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญระดับโลก ควบคู่กับการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจปรับตัวรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ซึ่งภาคเอกชนปรับกระบวนทัศน์เพื่อมุ่งสู่การผลิตและการบริการที่มีอัตราการปล่อยคาร์บอนต่ำรับโอกาสทางธุรกิจ ที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนบนฐานความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่ภาคธุรกิจหลายองค์กร เริ่มปรับตัว ให้ความสำคัญ และให้ความร่วมมือ จากการทำฉลากคาร์บอน-ฟุตพริ้นท์ การลดและเลิกใช้สารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอนที่ทำลายชั้นบรรยากาศในอุตสาหกรรมทำความเย็น และการส่งเสริมการใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ในการก่อสร้างและเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์คอนกรีต

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบาย BCG Economy ที่จะช่วยตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรชีวภาพ นำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนบนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยมีองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติปรับใช้พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน 

นอกจากนั้น รัฐบาลมุ่งเน้นเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ได้ร้อยละ 55 ภายในปี 2580 เพื่อสร้างสมดุลในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน และในปีนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้บรรลุเป้าหมายการปลูกต้นไม้ 100 ล้านต้น ภายใต้โครงการ "รวมใจไทย ปลูกต้นไม้ เพื่อแผ่นดิน สืบสานสู่ 100 ล้านต้น" โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง ขณะที่ภาคเอกชนก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มจากการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันขับเคลื่อนการดำเนินงานในทุกมิติทั้งระบบให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนแม่บท และแผนขับเคลื่อนในแต่ละสาขา รวมถึงนำร่องขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติในพื้นที่ ทั้งระดับจังหวัดและท้องถิ่น โดยมุ่งใช้จุดแข็งจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรธรรมชาติเป็นพื้นฐานในการรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 ให้ได้ ไปสู่ผลลัพธ์ที่แท้จริง คือ ความมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชนในวันนี้ และชีวิตที่ดีของลูกหลานเราในวันข้างหน้า ตลอดจนเพื่อแสดงบทบาทและความรับผิดชอบในการร่วมแก้ไขปัญหานี้ที่เป็นวาระของโลก

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานและทุกภาคส่วน สำหรับความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมสร้างสภาพภูมิอากาศที่ดีของโลก โดยไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่พร้อมแสดงความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้เพื่อลูกหลานในอนาคต 
และไทยจะประสบความสำเร็จไม่ได้ หากขาดความร่วมมือและความช่วยเหลือจากประเทศหุ้นส่วนความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ดีกับไทยเสมอมา พร้อมชื่นชมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้จัดการประชุม TCAC ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเสริมสร้างพลังระหว่างภาคีเครือข่ายทั้งประเทศ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่เป้าหมาย Net zero ภายในปี พ.ศ. 2608 เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและสมดุลของไทยและของโลกต่อไป