5 หุ้นค้าปลีกรายใหญ่ เทคออฟรับกำลังซื้อฟื้นต่อเนื่อง
บรรยากาศการใช้จ่ายเงินหรือการใช้ชีวิตนอกบ้านมีอัตราเพิ่มขึ้นแม้จะยังไม่เต็ม 100 % แต่จากการใช้ชีวิตร่วมกับโควิดแม้จะมีการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นไม่ได้ทำให้ มู้ด แอนด์ โทน ของประชาชนเปลี่ยนทำให้ 5 หุ้นในกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่ของไทยถูกจับตามองมากขึ้น
ช่วงปี 2563 - 2564 ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องเจอการเปิดๆ ปิดๆ ให้บริการตามสถานการณ์ล็อกดาวน์ จำกัดพื้นที่ให้บริการ ตามมาด้วยมาตรการช่วยคู่ค้าด้วยการลดค่าเช่า ทำให้เผชิญรายได้ลดฮวบ และขาดทุนในรายไตรมาส
จนเริ่มมีสัญญาณฟื้นจากการเปิดรับนักท่องเที่ยว และการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นทำให้บรรยากาศการเดินทาง การชอปปิง การเปิดหน้าร้าน รวมไปถึงจำนวนผู้ใช้บริการภายในห้าง หรือศูนย์การค้ากลับมามีทราฟฟิกแออัดอีกครั้ง
บรรดามาตรการช่วยเหลือคู่ค้าภายในห้างได้หมดลง และบางแห่งเริ่มมีการเตรียม และขยับขึ้นราคาค่าเช่าให้เห็นบ้างแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในการฟื้นตัวการอุปโภค-บริโภค ภายในประเทศที่ค่อยเป็นค่อยไป
ล่าสุดทางภาครัฐพึ่งประกาศงัดมาตรการ “คนละครึ่ง เฟส 5” เข้ามาช่วยทำให้การบริโภคภายในประเทศมีความคึกคักมากขึ้น ซึ่งกำหนดวงเงินในรอบนี้ลดลงเหลือ 800 บาทต่อคน จากเฟส 4 อยู่ที่ 1,200 บาทต่อคน เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันฟื้นตัวดีขึ้นกว่าช่วงก่อน ดังนั้นการช่วยเหลือต่างๆ จากภาครัฐก็ควรลดลงเรื่อยๆ ตามความเหมาะสม
พร้อมคาดว่ามาตรการดังกล่าว และที่จะเพิ่มเติมหนุนกำลังซื้อภายในประเทศที่ให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวม 48,628 ล้านบาท โดยคาดว่าจะช่วยทำให้ GDP ปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.13% แต่คงไม่ได้ทำให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.5%
5 หุ้นค้าปลีกที่นำตลาดในช่วงนี้จากราคาหุ้นขึ้นรอลุ้นผลกำไรไตรมาส 2 ปี 2565 เตรียมจะประกาศ บมจ. ซีพี ออลล์ หรือ CPALL ที่เผชิญแรงกดดันอัตรากำไรที่ลดลงบวกกับยอดขายต่อสาขา (SSSG) เป็นตัวเลขติดลบมาอย่างต่อเนื่อง จนปลายไตรมาส 4 ปี 2564 ตัวเลขกลับมาเป็นบวก จากไตรมาส 1 ปี 2565 ปรับตัวเกินระดับ 10 %
ขณะที่ในกลุ่มเดียวกัน บมจ. สยามแม็คโคร (MAKRO) ที่ CPALL ถืออยู่ คาด SSSG ทิศทางเดียวกันเพิ่มขึ้น 6-9%( YoY) ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงซื้อของกลุ่มลูกค้าเช่นกลุ่มร้านอาหารที่สามารถเปิดได้เต็มที่ รวมถึงเริ่มเห็นการจัดเลี้ยง ส่งผลต่อธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะสาขาในเมืองท่องเที่ยวที่เริ่มเห็นยอดขายที่ฟื้นตัวเพิ่ม
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จึงให้ราคาเหมาะสม CPALL ที่ 73 บาท ในปี 2565 จากในส่วน ของร้านค้าสะดวกซื้อ และธุรกิจ Cash & Carry ของ MAKRO รวมถึง Hypermarket และ Supermarket ของ Lotus การกลับเปิดบริการร้านอาหารและสถานบันเทิงนักท่องเที่ยวทั้งใน และต่างประเทศ เป็นปัจจัยหนุนยอดขาย
ส่วน MAKRO บล.ฟิลลิป คาดกำไรไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ 1,868 ล้านบาท (+45.1% y-y แต่ -8.9% q-q ) จากกำไรโลตัสลดลงจากโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่คาดจะค่อยๆ ลดลงถึงไตรมาส 4 ปี 2565 ราคาเป้าหมายที่ 48.00 บาท
บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ CRC ที่มีบริหารทั้งในไทย-เวียดนามและอิตาลี ซึ่งในไทยและเวียดนาม มีการฟื้นตัวที่ชัดเจน เดือนเม.ย. SSSG เติบโต 20 % (Y-Y) ส่วนอิตาลีเผชิญปัญหาเงินเฟ้อหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น SSSG อิตาลีเติบโต 100% (YoY)
บล.เอเชีย เวลท์ ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 มีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในไทยและเวียดนาม จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในอิตาลี และการให้ส่วนลดค่าเช่าลดลงแนะนำราคาเป้าหมาย 42.00 บาท
ด้านค้าปลีก บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือ BCJ ได้ประโยชน์ทั้งการฟื้นตัวของ “บิ๊กซี “ ในไทยและเวียดนาม ซึ่งบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) SSSG เพิ่มขึ้นสู่ระดับเกิน 10% จากเทศกาลสงกรานต์ และยอดขาย สินค้าเกี่ยวกับการเปิดเทอม
อีกทั้งการปรับปรุงสาขาส่งผลให้ยอดขายอาหารสดเติบโต ได้ดีขณะที่ยอดขายบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วและกระป๋องอะลูมิเนียมมีทิศทางการเติบโตเชิงบวก เนื่องจากกระแสบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนกำลังมาแรง จึงคงเป้าหมายราคาไว้ที่ 42 บาท
ปิดท้าย บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO ที่ได้รายงานกำไรไตรมาส 2 ปี 2565 แล้วที่ 1,520 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2565 และเพิ่มขึ้น 6.1 % จากไตรมาส 2 ปี2564 แม้จะเผชิญต้นทุนสูงขึ้นตามราคาพลังงาน
หากแต่อัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายก็เพิ่มขึ้นจาก 25.44% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.85% หลังเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงรายได้จากการบริการที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนค่าขนส่งในการกระจายสินค้าสู่สาขาจะปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันก็ตาม
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์