ดัชนี 'คริปโท' สะท้อนตลาด อยู่ในช่วง 'ความกลัวสุดขีด' ยาวนานที่สุด

Crypto Fear and Greed Index หรือดัชนีวัดความกลัวและความโลภในตลาดคริปโทอยู่ที่ระดับต่ำว่า 25/100 ตลอด 70 วันที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีสะท้อน "ความกลัวอย่างสุดขีด" เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาบิตคอยน์ปรับลดลงมาอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค. 2565 มาอยู่ที่แนวรับ 20,000 ดอลลาร์

แม้ว่าขณะนี้ ราคาบิตคอยน์จะเคลื่อนตัวมายืนอยู่เหนือแนวรับที่สำคัญ 20,000 ดอลลาร์แล้ว หลังจากที่ลงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ที่ 17,600 ดอลลาร์ในเดือน มิ.ย.2565 แต่ความเชื่อมั่นยังคงอยู่ในระดับต่ำ

 70 วันของ "ความกลัวสุดขีด"
ครั้งสุดท้ายที่ตลาดมองโลกในแง่ดีมากกว่า "ความกลัวสุดขีด" คือวันที่ 5 พ.ค.2565 ดันชีอยู่ที่ระดับ 27/100 ซึ่งเป็นวันก่อนที่ Terra (LUNA) ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า Terra Classic (LUNC) จะล่มสลาย จากนั้นดัชนีที่ต่ำกว่า 25/100 ครองระยะเวลายาวนาน 70 วัน และลงไปสู่ระดับต่ำสุดที่ 6/100 ในวันที่ 19 มิ.ย.2565 ซึ่งเป็นวันที่ราคาบิตคอยน์หลุดแนวรับ 20,000 ดอลลาร์

ฟิลิป สวิฟ ผู้สร้างแพลตฟอร์มการวิเคราะห์บนเครือข่าย LookIntoBitcoin ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อมูลและตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงความกลัวอย่างสุดขั้วนี้ ยาวนานกว่าช่วงที่ตลาดหมี เป็นขาลงของบิตคอยน์ในปี 2561 และปี 2563 ที่ผ่านมา

เมื่อเข้าสู่ตลาดขาลง ตั้งแต่ต้นปี 2565 ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนที่จะสามารถตึงตลาดกลับขึ้นมาสู่ขาขึ้น  โดยครั้งสุดท้ายที่ดัชนีอยู่ในโซน "โลภ" หรือ "โลภมาก" อยู่ที่ระดับ 60/100 ในวันที่ 28 มี.ค.2565

สำหรับดัชนีความกลัวในวันที่ 16 ก.ค. 2565 นั้น ขึ้นมายืนที่ระดับ 21/100 ซึ่งอยู่ยืนเหนือ ระดับ 20/100 ในรอบ 2 เดือน สะท้อนว่าตลาดคริปโทกำลังได้รับความมั่นใจกลับคืนมาอย่างช้าๆ 

โดยค่า Crypto Fear and Greed Index นั้นอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดย ค่า 0 หมายถึง สภาวะที่นักลงทุนในตลาดมีความกลัวถึงขีดสุด ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงขายอย่างรุนแรง ส่วนค่า 100 ก็มีความหมายในทางตรงกันข้าม นั่นคือ นักลงทุนในตลาดมีความโลภถึงขีดสุด อาจเกิดแรงซื้อเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

ดัชชีดังกล่าว เป็นมาตรวัดความโลภและความกลัวของนักลงทุนในตลาดคริปโท ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการนำมาวิเคราะห์การลงทุน เนื่องจากพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดคริปโท เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในตลาดทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ นักลงทุนสามารถทราบข่าวและตัดสินใจได้ทันที โดยไม่ต้องรอตลาดเปิดในช่วงเวลาทำการ 

ดังนั้น เมื่อนักลงทุนทราบข่าวพร้อมกัน จึงทำให้เกิดพฤติกรรมในลักษณะ Panic Buy หรือ Panic Sell ได้ง่ายกว่าตลาดการลงทุนอื่น ๆ