เฟทโก้ แนะ ‘กำเงินสด’ รอจังหวะลงทุน หลังมรสุมผ่าน
เฟทโก้ ชี้ การลงทุนหุ้นปัจจุบันอยู่ในภาวะ“มรสุม” ลงทุนยาก มีโอกาสขาดทุนสูง เสี่ยงเข้าสู่ตลาดหมี แนะระมัดระวังในช่วงตลาดผันผวน เงินเฟ้อพุ่ง เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลง 23.1% อยู่ที่ 64.57 เข้าสู่เกณฑ์ “ซบเซา” ครั้งแรกในรอบ 11 เดือน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า หากดูบริบทของการลงทุน ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อยู่ในภาวะ “Investment Storm 2022” ที่เป็นมรสุมของการลงทุน จากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก จากความกังวลในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ความกังวลเศรษฐกิจถดถอย
รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ล้วนทำให้การลงทุนเกิดความผันผวนมากขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสสูงที่จะขาดทุนได้ แม้กระทั่งกองทุน Hedge Fund ที่เก่งยังพบว่าขาดทุนจากการลงทุนได้ สะท้อนผ่าน ดัชนีดาวโจนส์ ที่ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ปรับลดลงมาแล้ว 15-16% ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลงเกือบ 4,000 จุด หรือประมาณ 30% ในช่วงระยะกว่า 6 เดือน
ทั้งนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นหลายตลาดเข้าสู่ตลาดหมีเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งหากมองไปข้างหน้า โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นปรับตัวลดลงได้อีกพอสมควร
ขณะที่ค่าเงินบาทที่ผันผวนเป็นพิเศษ รวมถึงค่าเงินหลายสกุลทำระดับต่ำสุดหรือนิวโลว์อย่างต่อเนื่อง เหล่านี้สะท้อนว่า บริบทของการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ในปีนี้ไม่ง่าย
ดังนั้นสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันถือว่าไม่ง่าย เพราะการปรับตัวของสินทรัพย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว การดูกราฟต่างๆ ก็มีข้อจำกัด เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดปัจจัยภายนอกอะไรเกิดขึ้นบ้าง ดังนั้นต้องลงทุนแบบระมัดระวัง ต้องถนอมเงินต้นให้มากที่สุด เพราะวันนี้ตลาดผันผวน
“ช่วงนี้ แม้มรสุมพัดไปเยอะแล้ว แต่ยังไม่จบ ดังนั้นให้รอจนเจอจุดเปลี่ยนคือ เมื่อเงินเฟ้อถึงจุดพีค ทำให้เห็นทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดชัด ค่อยเริ่มเข้ามาลงทุนได้ แต่ตอนนี้ก็ต้องถนอมตัวเอง ถนอมเงินต้นไว้”
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 3 ปีนี้ ยังมองว่า ตลาดแกว่งตัว (ไซด์เวย์) โดยคาดดัชนีจะอยู่ที่ 1,569 จุด และไตรมาส 4 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,664 จุดได้จากการฟื้นตัวของท่องเที่ยวที่คาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ถือว่ายังคงประคองตัวเองได้ดี โดยตลาดลงเพียง 100 จุด จากระดับ 1660 จุด หรือคิดเป็นเพียงระดับ 6% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นตลาดเดียวที่ยังบวกได้ หากเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ หากดูหุ้นไทย ยังมีที่ดีอีกมาก ปัจจุบันราคาปรับลดลง สูงสุดถึง 75% ที่เป็นหุ้นอนาคต ดังนั้นอาจเหมาะสมสำหรับ นักลงทุน VI หรือนักลงทุนที่สนใจเลือกลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Stock)
“หัวใจสำคัญของการลงทุน ต้องคิดว่า เราไม่สามารถซื้อหุ้นที่ต่ำที่สุด หรือ bottom ได้ แต่สามารถซื้อในอัตราที่เหมาะสมได้ หากเป็นราคาที่รับได้ แม้หลังจากนั้นต้องทำใจว่าอาจติดดอยบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว หุ้นเหล่านั้นจะฟื้นได้”
สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจ โดดเด่น 3 กลุ่มด้วยกัน อาหาร ท่องเที่ยว และกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคาร ที่มองว่ากลุ่มแบงก์จะได้รับประโยชน์ มีมาร์จิ้นมากขึ้น จากการขึ้นดอกเบี้ยของไทย ทำให้ถือเป็นกลุ่มที่โดดเด่น
ส่วนผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.ย.2565) อยู่ที่ระดับ 64.57 ปรับตัวลดลง 23.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน โดยปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่อาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย รองลงมาคือ ภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และความกังวลโควิด
ทั้งนี้ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ แนวทางการรับมือของเฟด ต่อสถานการณ์เงินเฟ้อหลังอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี ความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งยังคงเป็นความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านพลังงานในยุโรป
รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. สถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจากราคาพลังงานในตลาดโลก และราคาวัตถุดิบในประเทศ และสถานการณ์การระบาด COVID-19 Omicron สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์