กอช.ผนึกพอช.ดึงแรงงานนอกระบบร่วมออมครอบคลุมทุกชุมชน​

กอช.ผนึกพอช.ดึงแรงงานนอกระบบร่วมออมครอบคลุมทุกชุมชน​

กอช.ผนึกพอช.สร้างวินัยการออมครอบคลุมทุกชุมชน​ เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระมีเงินออมยามชราภาพ​ เพียงใช้บัตรประจำตัวประชาชนในการสมัครและส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง​เริ่มตั้งแต่วันนี้้เป็นต้นไป​

วันนี้ (18 มิ.ย.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) โดยเครือข่ายองค์กรชุมชน กับ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ในการให้บริการเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ 

นายอาคมกล่าวว่า ด้วยแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ในยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบการออมที่เข้มแข็ง โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชน เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดำรงชีวิตยามชราภาพให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรภาคแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นแรงงานนอกระบบ เพื่อสร้างความมั่นคงในบั้นปลายของชีวิต ตลอดจนการสร้างวินัยในการออมของประชาชนคนไทยในวัยทำงาน

กอช.จึงเป็นช่องทางการออมขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองเพื่อการชราภาพให้ได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบบำนาญ อันเป็นการสร้างความเท่าเทียมและ                        ความเป็นธรรมในการดูแลจากภาครัฐ  โดยระบบสวัสดิการบำเหน็จ – บำนาญของรัฐ หรือ นายจ้าง แต่ละอาชีพจะมีรูปแบบแตกต่างกันไป อาทิ  ข้าราชการ มีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)  หน่วยงานเอกชน มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  แรงงานในระบบ มีกองทุนประกันสังคม

สำหรับแรงงานนอกระบบ รัฐบาลได้จัดตั้งเพื่อลด                 ความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการวางแผนออมเงินของประชาชนเป็นอย่างมาก สร้างวินัยการออมในทุกช่วงวัยผ่านกอช. ซึ่งถือเป็นกองทุนการออมภาคประชาชน เป็นกลไกส่งเสริมการออมของแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา พ่อค้าแม่ค้า                   ผ่านการสมัครเป็นสมาชิก

กอช. จึงได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.ในการขับเคลื่อนส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนเข้าถึงการออมกับ กอช. มีสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่ง พอช. จะเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. ในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ประสงค์จะสมัครสมาชิก ส่งเงินออมต่อเนื่อง หรือเข้าร่วมกิจกรรมโปรโมชันต่างๆ ที่ส่งเสริมการออมด้วย

โดยความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันส่งเสริมให้คนไทยได้รู้จักออมเงินกับ กอช. อีกทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนคนไทยให้ดีขึ้น

นางสาวณหทัย ขันธวิเชียร  ผู้ช่วยเลขาธิการกอช. กล่าวว่า กอช. มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสร้างหลักประกันที่มั่นคงในวัยเกษียณให้กับเกษตรกร                              ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 15 ปี จนเข้าสู่วัยทำงานถึงอายุ 60 ปี ออมขั้นต่ำเพียง 50 บาทต่อครั้ง สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช.

สิทธิประโยชน์ที่ 1 รับเงินสมทบจากรัฐ ในแต่ละช่วงอายุของสมาชิก ในเดือนถัดไป​ ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีสูงสุด 600 บาท  
ช่วงอายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง​ โดยรวมกันทั้งปีสูงสุด 960 บาท

ช่วงอายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง​ โดยรวมกันทั้งปีสูงสุด 1,200 บาท

สิทธิประโยชน์ที่ 2  ผลตอบแทนของเงินที่นำไปลงทุน ทั้งในส่วนเงินออมสะสมและเงินสมทบ                 และรัฐบาลค้ำประกันผลตอบแทนการลงทุน

สิทธิประโยชน์ที่ 3  ลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวนเงินออมสะสม

ทั้งนี้ ในการส่งเงินออมสะสมกับ กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกปีและ สะดวกที่ไหนออมได้ทุกที่  ซึ่งที่ผ่านมา กอช. ได้มีหน่วยรับสมัครและส่งเงินออมสะสมที่ อาทิ ที่ว่าการอำเภอครอบคลุมทุกพื้นที่  สำนักงานคลังจังหวัด  สถาบันการเงินชุมชน  ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน  ธนาคารของรัฐ อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์  ธนาคารออมสิน  ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทุกสาขา  สหกรณ์ชุมชนที่เข้าร่วม  

ในครั้งนี้ กอช. ได้ยกระดับให้ประชาชนเข้าถึงการออมเพิ่มมากขึ้นในทุกชุมชน จึงได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.ในการให้บริการสมาชิก กอช. สะดวกสบายเพิ่มมากขึ้น ทั้งในการบริการตรวจสอบสิทธิ์ สมัครสมาชิกใหม่                 ส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง และให้คำปรึกษาในการรับสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. ด้วย 

นายไมตรี อินทุสุต  ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กล่าวว่า หลังจากที่เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนบ้านมั่นคง ได้แก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยโดยโครงการบ้านมั่นคงมาตั้งแต่ปี 2546                  รวมจำนวน 127,780 ครัวเรือน  โครงการบ้านมั่นคงมีแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญคือ การให้ชุมชนเป็นเจ้าของโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาและจัดการตนเอง โดยมีการรวมกลุ่มจัดทำแผนงานโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและชุมชน บริหารจัดการโครงการและงบประมาณ และพัฒนาศักยภาพชุมชนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การออมทรัพย์ การบริหารจัดการองค์กร การบริหารจัดการงานก่อสร้าง และการจัดการที่ดิน เป็นต้น โดยมีภาครัฐและหน่วยงานท้องถิ่นให้การสนับสนุน

นอกจากนี้ เครือข่ายบ้านมั่นคงยังได้ส่งเสริมการพัฒนาหลายด้าน เพื่อสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง พัฒนาคุณภาพชีวิตสมาชิก เช่นมีสวัสดิการชุมชน มีกองทุนรักษาดินรักษาบ้าน มีกองทุนสวัสดิการเด็ก การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ เป็นต้น เพื่อให้บ้านมั่นคงเป็น  “บ้าน ที่มากกว่า บ้าน” เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนบ้านมั่นคง มีความเห็นร่วมกันเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของสมาชิก ที่เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนบ้านมั่นคงจะต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ที่มีเป้าหมายจะดำเนินการไม่น้อยกว่า 50 สหกรณ์ในโครงการบ้านมั่นคง และเครือข่ายขบวนองค์กรบ้านมั่นคงใช้กองทุนการออมแห่งชาติเป็นเครื่องมือ เพื่อพัฒนา/ต่อยอดการดำเนินงานของเครือข่ายขบวนองค์กรบ้านมั่นคงและประชาชนทั่วไป เป้าหมายการเกษียณเป็นสิ่งที่  สำคัญมากของชีวิต เพื่อรับมือกับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุในปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่มักมองข้ามปัญหานี้ไปเพราะให้น้ำหนักหรือเน้นกับปัจจุบันมากกว่าอนาคต

โดยข้อมูลปัจจุบันประชากรที่มีอายุสูงกว่า 65 ปีขึ้นไปประมาณ 9% ในตอนนี้จะทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 25% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในปี พ.ศ 2583 และสถิติผู้สูงอายุชาวไทยในปัจจุบัน มีมากถึง 2 ใน 3 ที่ไม่มีเงินออม ส่วนที่มีเงินออมมากกว่า 1 ล้านบาทนั้นมีเพียง 5% ของจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด เมื่อสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุของประเทศไทยยังมีอยู่ในระดับจำกัด จึงต้องการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุควรจะร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชนตั้งแต่ระดับบุคคล ชุมชนและประเทศ โดยเฉพาะการร่วมกันกระตุ้นเพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีการเตรียมวางแผนการออมการใช้ชีวิตในบั้นปลาย การร่วมมือกันในชุมชน การขับเคลื่อนเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการ