สงครามยืดเยื้อ-ราคาน้ำมันพุ่ง ฉุดดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯ ร่วงต่อเนื่อง

สงครามยืดเยื้อ-ราคาน้ำมันพุ่ง ฉุดดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯ ร่วงต่อเนื่อง

ส.อ.ท. เผยสงครามรัสเซียที่ยังยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ฉุดดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ค. 2565 ร่วงต่อเนื่อง แนะรัฐส่งเสริมวัตถุดิบในประเทศ เปิดท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพ.ค. 2565 อยู่ที่ระดับ 84.3 ปรับตัวลดลงจากระดับ 86.2 ในเดือนเม.ย. ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยองค์ประกอบดัชนีฯ ปรับตัวลดลงทุกองค์ประกอบ ได้แก่ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ 

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ได้แก่ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาวัตถุดิบต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภาคการผลิตโดยเฉพาะ SMEs

ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังฟื้นตัวช้าจากปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง สะท้อนจากดัชนีฯ คำสั่งซื้อและยอดขายที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า

นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากผลกระทบความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งการปิดเมืองของจีนส่งผลให้เกิดปัญหา Supply Shortage โดยเฉพาะการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เพื่อใช้ผลิตรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย 

นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ความขัดแย้งของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังคงยืดเยื้อและอาจขยายไปถึงในตะวันออกกลาง กดดันให้เศรษฐกิจโลกไม่สามารถเติบโตได้เท่าที่ควร ทำให้เรื่องใหญ่ที่น่ากังวลในปีนี้ คือ ภาวะเงินเฟ้อจากค่าพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น รวมทั้งภาวะการขาดแคลนอาหาร เนื่องจากความขาดแคลนปุ๋ยและราคาปุ๋ยที่สูงขึ้นทำให้ภาคเกษตรปรับลดปริมาณการใช้ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตในปีนี้ลดน้อยลงไปด้วย ทำให้หลายประเทศผู้ส่งออกเริ่มกังวลและงดการส่งออกเพื่อกันไว้สำหรับในประเทศตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ภายหลังการระบาดของสายพันธุ์ Omicron ลดลงทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายเปิดประเทศและการยกเลิกระบบ Test&Go ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,323 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเดือนพฤษภาคม 2565 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ ราคาน้ำมัน 85.5% สภาวะเศรษฐกิจโลก 65.7% และเศรษฐกิจในประเทศ 59.0% ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวล ลดลง ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 55.5%  อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 36.4% สถานการณ์การเมืองในประเทศ 35.1% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 33.2% ตามลำดับ 

สำหรับดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 96.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 95.9 ในเดือนเมษายน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ การปลดล็อกมาตรการควบคุมโควิด-19

รวมถึงการที่ภาครัฐจะพิจารณาให้โรคโควิดเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 

ทั้งนี้ ส.อ.ท. มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
1. เสนอให้ภาครัฐช่วยเจรจาหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ที่มีศักยภาพมาทดแทน โดยเฉพาะ ปุ๋ย อาหารสัตว์  สารเคมี เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศและเพื่อความมั่นคงระยะยาว
2. ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เช่น เงินอุดหนุนรักษาการจ้างงาน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ  เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ
3. เสนอภาครัฐเปิดการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ และออกมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปี 2565
4. ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  สงครามยืดเยื้อ-ราคาน้ำมันพุ่ง ฉุดดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯ ร่วงต่อเนื่อง