ธปท.แนะธุรกิจป้องกันความเสี่ยงค่าเงินผันผวน

ธปท.แนะธุรกิจป้องกันความเสี่ยงค่าเงินผันผวน

ธปท.ชี้ค่าเงินบาทผันผวนต่อเนื่อง แนะภาคธุรกิจป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ ภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนเม.ย.ปรับตัวดีจากทุกเครื่องชี้วัดยกเว้นการใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลง และตลาดแรงงานที่ยังเปราะบาง พร้อมลุ้นภาคท่องเที่ยวครึ่งปีหลังช่วยกระตุ้นจีดีพี

น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารการสื่อสารองค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ระบุ สถานการณ์ค่าเงินบาทในระยะต่อไปจะมีความผันผวนแน่นอน เนื่องจาก ปัจจัยทั้งภายในประเทศและนอกประเทศจะมีเข้ามากระทบค่อนข้างมาก จึงขอแนะนำให้ประชาชนและภาคธุรกิจดูแลความเสี่ยงเพื่อป้องกันความผันผวนดังกล่าว

“เมื่อเกิดปัจจัยต่างๆแล้ว จะเห็นว่า ค่าเงินบาทค่อนข้างผันผวน แต่บอกได้ยากว่า เงินบาทจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า ซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำต่อภาคธุรกิจหรือประชาชนทั่วไปดูแลความเสี่ยง เพื่อป้องกันความผันผวน เพราะเป็นสิ่งที่จะมาแน่ๆ เพียงแต่จะมีทั้งบวกและลบ จากปัจจัยข้างใน ข้างนอก และ ปัจจัยระยะสั้นหรือยาว ฉะนั้น ยากที่จะบอกเทรนด์

ทั้งนี้ ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่คลี่คลาย รวมทั้ง เศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียอ่อนค่าลง

สำหรับเศรษฐกิจไทยในเดือนเม.ย.ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเกือบทุกองค์ประกอบ มีเพียงการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอนที่ปรับลดลงบ้างและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ทรงตัวเนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต

ขณะที่ ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น แต่โดยรวมยังเปราะบาง โดยผู้ประกันตนในมาตรา 33 ทยอยปรับดีขึ้น แต่หากเทียบกับช่วงก่อนโควิดถือว่า ยังห่างไกล ฉะนั้น ในภาพรวมตลาดแรงงานถือว่า ยังเปราะบางและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลงนั้น ในการประเมินภาพเศรษฐกิจที่ผ่านมา เราได้ประเมินภาพการใช้จ่ายภาครัฐไว้แล้ว โดยในช่วงก่อนโควิด ภาครัฐใช้จ่ายค่อนข้างมาก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้น หลังจากที่เศรษฐกิจค่อยๆฟื้น การใช้จ่ายภาครัฐก็จะค่อยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“ในเดือนเม.ย.การใช้จ่ายภาครัฐมีการหดตัว ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งเบิกจ่ายไปก่อนหน้า อีกส่วนที่ลดลง ก็ยังดีกว่าค่าเฉลี่ย ฉะนั้น ในแง่การใช้จ่ายภาครัฐก็จะค่อยๆกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะไม่มีกระตุ้นแรงหรือมีแพกเกจใหญ่ๆเหมือนเมื่อก่อน แต่บทบาทยังมีต่อเนื่อง”

แนวโน้มเศรษฐกิจในเดือนพ.ค.นั้น เราเห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มทยอยปรับดีขึ้นจากความกังวลต่อการระบาดของโอมิครอนที่ลดลงและการทยอยเปิดประเทศ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์การปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุนและราคาสินค้า ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิตและ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการ

ทั้งนี้ ในภาคท่องเที่ยวนั้น เราเห็นการฟื้นตัวที่ค่อยๆกลับมาจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่ผ่อนคลายลง และบางเรื่องก็เร็วกว่าที่คาดไว้ แต่ไม่ใช่แค่มาตรการของเราอย่างเดียว แต่เป็นมาตรการของประเทศอื่นๆด้วย ฉะนั้น เรื่องการท่องเที่ยวก็ยังเป็นภาคที่ต้องจับตาต่อเนื่อง เพราะเป็นเครื่องมือที่จะหนุนเศรษฐกิจไทย เราคาดหวังว่า ในช่วงครึ่งปีหลังตัวเลขนักท่องเที่ยวจะเป็นไปตามที่เราคาดไว้ที่ 7.91 แสนคน

สำหรับรายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนเม.ย.มีดังนี้ เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ตามการใช้จ่ายหมวดบริการและหมวดสินค้าไม่คงทน สะท้อนถึงความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Omicron ที่น้อยลง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงลดลงจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นเป็นสำคัญ ซึ่งยังเป็นปัจจัยลบต่อการบริโภคภาคเอกชน

เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยการลงทุนหมวดก่อสร้างปรับดีขึ้น ตามยอดขายวัสดุก่อสร้างและการขออนุญาตก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่การลงทุนหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ลดลง ตามการนำเข้าสินค้าทุนและยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกสัญชาติ หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวจากรัสเซียและยุโรปตะวันออกปรับลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยปรับดีขึ้นในหลายหมวด อาทิ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โลหะ สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ยางสังเคราะห์ รวมทั้งยานยนต์และชิ้นส่วน

อย่างไรก็ตาม การส่งออกบางสินค้าปรับลดลง โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต และมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ของจีน

การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วทรงตัวจากเดือนก่อน โดยปรับดีขึ้นในหลายหมวด อาทิ หมวดยางและพลาสติกตามราคายางที่ปรับดีขึ้น หมวดวัสดุก่อสร้างสอดคล้องกับการก่อสร้างของภาคเอกชน รวมทั้ง หมวดยานยนต์สอดคล้องกับการส่งออกในหมวดดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม การผลิตลดลงในบางหมวด อาทิ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ตามปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน ซึ่งถูกซ้ำเติมจากมาตรการควบคุมการระบาด COVID-19 อย่างเข้มงวดของจีน และหมวดอาหารและเครื่องดื่มจากการผลิตน้ำตาลที่น้อยลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วงปิดหีบอ้อย

มูลค่าการนำเข้าสินค้าไม่รวมทองคำที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วลดลงจากเดือนก่อน จากการนำเข้าปิโตรเลียมที่ลดลงตามการบริหารคำสั่งซื้อของผู้ประกอบการ และการนำเข้าสินค้าทุนที่ลดลง อาทิ เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องระบายอากาศ อย่างไรก็ดี การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

การใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอนหดตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ตามการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานสูงในปีก่อน ประกอบกับหน่วยงานด้านการศึกษาและด้านคมนาคมทยอยเบิกจ่ายในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี การลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัวดีตามการเบิกจ่ายของหน่วยงานด้านโทรคมนาคมเป็นสำคัญ

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงเล็กน้อยตามอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานเป็นสำคัญ โดยอยู่ที่ 4.65% จากเดือนก่อนที่อยู่ 5.73% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัว

สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาขาดดุล ตามดุลการค้าที่เกินดุลลดลงจากการส่งออกทองคำที่ลดลงเป็นสำคัญ และดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุลมากขึ้นตามการส่งกลับกำไรและเงินปันผลของธุรกิจต่างชาติ