LALIN การเติบโตยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ คาดกำไรทำ New High

LALIN การเติบโตยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ คาดกำไรทำ New High

กำไรงวด 1Q65 เท่ากับ 328 ล้านบาท ลดลง 12.9%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 2.5%YoY : งวด 1Q65 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,581 ล้านบาท -10.0%QoQ, +3.8% YoY รายได้ยังสามารถเติบโต YoY แต่ลดลง QoQ เนื่องจากช่วงไตรมาส4 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ

ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 328 ล้านบาท ลดลง 12.9%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 2.5%YoY  โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 39.0% ทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบ YoY และ QoQ  อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้เท่ากับ 9.7% เทียบกับ 8.5% ใน 4Q64 และ 9.3% ใน1Q64 บริษัทสามารถรักษาระดับ %SG&A/Salesได้ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอยู่ที่ราว 15% มีอัตรากำไรสุทธิ 20.7% บริษัทมีอัตราการทำกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่อยู่บริเวณราว 15% ใกล้เคียงกับใน 1Q64 ที่ 20.9% แต่ปรับตัวลงเมื่อเทียบกับใน 4Q64 ที่ 21.3% ด้านฐานะการเงินยังแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เท่ากับ 0.59 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมที่ระดับ 1.32 เท่า 

LALIN การเติบโตยังคงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ คาดกำไรทำ New High

 

 

- 5M65 เปิดโครงการใหม่ 5 โครงการมูลค่ารวม 2.5 พันล้านบาท : ในช่วง 5M65 เปิดโครงการใหม่ 5 โครงการแบ่งออกเป็นทาวน์โฮม 2 โครงการ เเละโครงการบ้านเดี่ยว - บ้านแฝด 3 โครงการมูลค่ารวม 2,520 ล้านบาท และเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 4 โครงการ มูลค่า 3,400 ล้านบาทในช่วงปลาย 2Q65 ถึง 3Q65 คาดว่าภายในปี 2565 บริษัทจะสามารถเปิดโครงการได้ราว 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท โดยเน้นโครงการแนวราบที่เป็น Real Demand และเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของประเทศ แบรนด์ “Lanceo” ระดับราคา 3-6 ล้านบาท แบรนด์ “Lalin Greenville” ระดับราคา 8-12 ล้านบาท ทาวน์โฮมมี 2 แบรนด์หลัก คือ แบรนด์ “Lio” ระดับราคา 2-3 ล้านบาท และ “Lio Prestige” ระดับราคา 2.5 – 3.5 ล้านบาท ปี 64 มีแบรนด์ใหม่เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้นได้แก่แบรนด์ “บ้านลลิล The Prestige” ระดับราคา 5-8 ล้านบาท ในปี 65 บริษัทตั้งเป้ายอดขาย Presale ราว 8,500 ล้านบาท และคาดยอดโอนที่จะรับรู้เป็นรายได้ราว 7,200 ล้านบาทซึ่งเราประเมินว่าน่าจะทำได้ใกล้เคียงตามคาด

 

-  คงเป้าประมาณการรายได้ และกำไรปี 65 เติบโต 10% และ 9% ตามลำดับ :  ฝ่ายวิจัยคาดว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 65 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 64 จากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบที่เป็น Real Demand  เราคาดการณ์รายได้จากการโอนโครงการในปี 65 มีโอกาสแตะระดับ 7 พันล้านบาทสอดคล้องกับมูลค่าโครงการที่มีแผนเปิดขายใหม่ทั้งปีที่ราว 7-8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตราว 15% ฝ่ายวิจัยคงประมาณการรายได้และกำไรที่ 7,230 ล้านบาท และ 1,511 ล้านบาทซึ่งเติบโตต่อเนื่อง 10% และ 9%  ตามลำดับ โดยกำไรในช่วง 1Q65 ที่ทำได้ 328 ล้านบาท คิดเป็น 22% ของประมาณการกำไรปี 65 ยังเป็นไปตามที่เราคาด ทั้งนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่มีอัตราการติดเชื้อและการเสียชีวิตลดลงพร้อมปรับเป็นโรคประจำถิ่น จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้นมากส่งผลกระทบต่อบริษัทไม่มากนักจากล็อกราคาวัสดุก่อสร้างทั้งปีและบริหารจัดการต้นทุนเหล็ก   ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ ปลายงวด 1Q65 ราว 1.4 พันล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 65 เนื่องจากการขายและการโอนยังคงทำได้ตามเป้าหมาย 

-  คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 65 เท่ากับ 13.20 บาท :  ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของบริษัทจากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง ในการประเมินราคาเหมาะสมอิง Prospected PER ที่ระดับ 8.1 เท่าซึ่งเป็นระดับ +1.5SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี และ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ระดับ 21.5 เท่า  จากการประเมินกำไรต่อหุ้นสำหรับปี 65 ที่ 1.63 บาทได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 13.20 บาท ยังมี upside ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 7.1% ต่อปีอยู่ในระดับสูงน่าสนใจ  จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” 

 

ปัจจัยเสี่ยง 

1.    กำลังซื้ออ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
2.    ธุรกิจที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูง
3.    ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น
4.    การพัฒนาโครงการมีความล่าช้า