กรุงไทยคาดตลาดพลาสติกชีวภาพโต 40% แนะภาคธุรกิจลงทุน

กรุงไทยคาดตลาดพลาสติกชีวภาพโต 40% แนะภาคธุรกิจลงทุน

กรุงไทย คอมพาส คาดปริมาณ และมูลค่าการใช้พลาสติกชีวภาพในไทยขยายตัว 40% ต่อปี คิดเป็นมูลค่าถึง 1.9 หมื่นล้านบาท ในปี 69 ถือเป็นโอกาสสำหรับภาคธุรกิจในการเข้าลงทุน โดยแปลงขยะอินทรีย์ วัสดุเหลือใช้การเกษตรเป็นพลาสติกชีวภาพรับเทรนด์ ESG

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS มองภาพตลาดพลาสติกชีวภาพในไทย และโลกยังเติบโตได้อีกมาก กรณีทั่วโลกนั้น ทั้งปริมาณและมูลค่ามีการเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี ส่วนของไทยนั้น คาดเติบโตได้ถึง 40% คิดเป็นมูลค่าการตลาดถึง 1.9 หมื่นล้านบาท ในปี 2569 ดังนั้น จึงมองว่า เป็นโอกาสของผู้ประกอบการสำหรับการเข้ามาลงทุน

“ไม่ว่า สถานการณ์โลกจะวุ่นวายแค่ไหน ไม่ว่าจีดีพีจะเป็นเท่าไร ก็ยังมีโอกาสทางธุรกิจเสมอ โดยกรุงไทย คอมพาส มองการนำวัตถุดิบ และขยะเหลือใช้มาผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพนั้น เป็นแนวทางที่ win-win”

ทั้งนี้ ด้านหนึ่ง คือ ตอบโจทย์เรื่องของขยะอาหาร วัตถุดิบเหลือใช้การเกษตรที่มีเหลือใช้มากมาย ซึ่งปัจจุบันต้องเอาไปฝังกลบ หรือไปขายเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งได้มูลค่าน้อย อีกด้านหนึ่งคือ ตอบโจทย์เรื่องเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเราสามารถผนวกสองโจทย์นี้ และตอบด้วยโจทย์การนำวัตถุดิบเหลือใช้มาทำเป็นพลาสติก และเพิ่มมูลค่าได้อย่างเด่นชัด 3-12 เท่า ก็ถือว่า มีโอกาสค่อนข้างสูง

เขากล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญต่อการเติบโตของพลาสติกชีวภาพคือ การบังคับใช้กฎหมายห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastics) ความตื่นตัวของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และดูแลสุขภาพ รวมไปถึง การเร่งปรับตัวของภาคธุรกิจตอบรับกับกระแส ESG และลดก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในอนาคต

ขณะที่ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพทำให้สามารถนำขยะอินทรีย์และวัสดุเหลือใช้ในภาคเกษตรที่มีมูลค่าน้อย มา Upcycle เป็นพลาสติกชีวภาพชนิด Polylactic Acid (PLA) และ Polyhydroxyalkanoate (PHA) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าพลาสติกทั่วไปที่ผลิตจากปิโตรเคมี

“หากจะผลักดันอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ PLA และ PHA ของไทยให้สามารถผลิต เพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลกได้มากขึ้น การนำขยะอาหาร และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ มาเป็นวัตถุดิบ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการขยายศักยภาพการผลิต โดยที่ไม่สร้างภาระต่อภาคเกษตร”

นอกจากนี้ การนำขยะอินทรีย์และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษที่เกิดจากการฝังกลบขยะอินทรีย์และการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ซึ่งช่วยสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ และเป็นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า  ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สอดรับกับเทรนด์ ESG” 

ด้าน นายชัยสิทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีขยะอินทรีย์จำพวกขยะอาหารจำนวนกว่า 12 ล้านตันต่อปี และมีวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมากถึง 160 ล้านตันต่อปี นับเป็นแหล่งคาร์บอนที่น่าสนใจ หากจะนำมาแปรรูปเป็นสารสำคัญสำหรับการผลิตพลาสติกชีวภาพ PLA และ PHA 

อีกทั้ง ยังเป็นวัตถุดิบที่มีราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับพืชอาหารต่างๆ ที่นิยมใช้กัน เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด และอ้อย นอกจาก จะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาพืชอาหารจำนวนมากเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณผลผลิตของพืชอาหารเหล่านั้นค่อนข้างผันแปรมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนในแต่ละปี

นอกจากนี้ ที่สำคัญ ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะอินทรีย์ และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น การใช้ขยะอินทรีย์จำพวกเศษผัก และผลไม้มาผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพ PLA อาจเพิ่มมูลค่าได้ราว 3 - 12 เท่าเทียบกับการขายเป็นอาหารสัตว์

เขากล่าวด้วยว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมด้านวัตถุดิบทางเลือก แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจพลาสติกชีวภาพไทยจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเติบโตธุรกิจอย่างยั่งยืน

ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญคือ มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะการทำ R&D กับ Partners ที่แข็งแกร่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้แข่งขันกับพลาสติกทั่วไปได้ดียิ่งขึ้น

รวมทั้ง ค้นหานวัตกรรมใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ที่สำคัญ สามารถนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้เร็วและได้จริง  ตลอดจนสร้างเครือข่ายทางธุรกิจในห่วงโซ่การผลิต ทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบและตลาดที่มีศักยภาพรองรับ รวมไปถึงการทดสอบและการขอรับรองมาตรฐานสินค้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์