จุดเปลี่ยนของ Stablecoin โลก : MiCA ปะทะ USDT ใครจะรอดจากมหาพายุแห่งกฎระเบียบ?

แม้ USDT จะไม่ผ่านกฎ MiCA ในยุโรป แต่ก็ยังคงครองตำแหน่ง “King of Stablecoin” ได้ในตลาดโลกในปัจจุบัน เนื่องจากขนาด Market Cap ที่สูงแตะ $1.55 แสนล้าน โดยมีปริมาณการซื้อขายรายวันสูงที่สุดในบรรดา Stablecoin ทั้งหมด
KEY
POINTS
- กฎระเบียบ MiCA ของยุโรป ซึ่งจะบังคับใช้ในปี 2025 กำหนดให้ผู้ให้บริการ Stablecoin ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันแบบ 1:1, ได้รับใบอนุญาต และผ่านการตรวจสอบจากบริษัทที่ได้รับการรับรองในสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นความท้าทายโดยตรงต่อ USDT
- USDT ซึ่งเป็น Stablecoin ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด ไม่ผ่านเกณฑ์ของ MiCA เนื่องจากปัญหาความโปร่งใสของสินทรัพย์สำรองและใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานยุโรป ส่งผลให้ต้องถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลในยุโรป
- การที่ USDT ถูกจำกัดในยุโรป ทำให้ Stablecoin อื่นๆ ที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เช่น USDC และ PYUSD มีโอกาสเติบโตและได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น
- แม้จะไม่ผ่านกฎ MiCA ในยุโรป USDT ยังคงครองตำแหน่ง "King of Stablecoin" ในตลาดโลก โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและรองรับหลายเครือข่าย
- อนาคตของตลาด Stablecoin อาจถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เน้นการปฏิบัติตามกฎระเบียบสำหรับเขตเศรษฐกิจที่เข้มงวด และกลุ่มที่เน้นการเข้าถึงและสภาพคล่องสำหรับตลาดเกิดใหม่
- Tether ยังคงมีโอกาสกลับเข้าสู่ตลาดยุโรปได้ หากสามารถปรับปรุงระบบการตรวจสอบบัญชีและความโปร่งใสให้สอดคล้องกับกฎ MiCA ได้สำเร็จในอนาคต
ในวันที่กฎระเบียบเริ่มไล่ตามเทคโนโลยี Stablecoin จึงกลายเป็นสนามรบใหม่ที่โลกการเงินจับตามอง โดยเฉพาะเมื่อกฎระเบียบ MiCA (Markets in Crypto-Assets Regulation) จากฝั่งยุโรปเริ่มบังคับใช้จริงในปี 2025 สายตาทั้งหมดจึงหันไปที่ Tether (USDT) ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin ที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลกในปัจจุบัน พร้อมตั้งคำถามว่า “USDT จะสามารถปรับตัวรับมือกับกฎระเบียบใหม่ที่เกิดขึ้นได้ทัน หรือจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง?”
MiCA คือกฎระเบียบด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่ครอบคลุมทั้งสหภาพยุโรป มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค สร้างความโปร่งใส ลดความเสี่ยงในระบบการเงิน และป้องกันการฟอกเงิน โดยเฉพาะกับ “Stablecoins” ซึ่ง MiCA ได้แบ่ง Stablecoin เป็น 2 ประเภทได้แก่ E-Money Tokens (EMTs) ซึ่งเป็น stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินเดียว เช่น EUR และ USD ส่วนอีกคือประเภท Asset-Referenced Tokens (ARTs) คือ Stablecoin ที่อ้างอิงมูลค่าสินทรัพย์ เช่น เงินตราต่างประเทศ ทองคำ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล
ข้อกำหนดหลักของ MiCA
สำหรับ ผู้ให้บริการ Stablecoin ได้แก่ : ต้องมีสินทรัพย์รองรับแบบ 1:1 กับมูลค่าเหรียญที่ออก ต้องเก็บสินทรัพย์ไว้ในธนาคาร หรือนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตในสหภาพยุโรป ต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกลางอย่าง คณะกรรมาธิการยุโรป รัฐสภายุโรป และคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ต้องมีการตรวจสอบบัญชี (Audit) อย่างสม่ำเสมอจากบริษัทที่ได้รับการรับรองในยุโรป
อย่างที่เกริ่นกันมาข้างต้น แม้ USDT จะเป็นเหรียญที่มีปริมาณการใช้งานมากที่สุดทั่วโลก ด้วยระดับ Market Cap ที่สูงทะลุ $1.55 แสนล้าน (ณ 16 มิ.ย. 25) แต่ก็มักถูกวิจารณ์เรื่องความโปร่งใสในการเปิดเผยสินทรัพย์ที่ใช้รองรับ USDT
ในอดีต Tether เคยอ้างว่าแต่ละหน่วยของเหรียญ USDT มีสินทรัพย์สำรอง 100% ทว่าเมื่อมีการเรียกร้องให้ตรวจสอบสินทรัพย์สำรองอย่างละเอียด กลับพบว่าการยืนยันบัญชีและปริมาณสินทรัพย์สำรองไม่ชัดเจน หรืออาจไม่ได้เป็นเงินสดเต็มจำนวนด้วยซ้ำไป แต่กลับแบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลหรือสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงต่ำบ้าง จึงสร้างความกังวลว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินในตลาด Tether จะรักษามูลค่าของ USDT ได้จริงหรือไม่
อีกประเด็นหนึ่งคือ Auditors ที่ Tether ใช้ในการตรวจสอบสินทรัพย์สำรองของบริษัท หลายครั้งที่นักลงทุนหรือหลายๆหน่วยงานต่างตั้งคำถามว่าองค์กรตรวจสอบอย่าง BDO Italia นั้น เพียงพอในการผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานของ MiCA หรือไม่? และรายงานที่เคยออกมาก็ยังไม่เคยเปิดเผยผลการตรวจสอบแบบเต็มรูปแบบต่อสาธารณะเหมือนสถาบันการเงินทั่วไป หลายฝ่ายจึงตั้งข้อสงสัยว่า USDT อาจไม่ได้มีปริมาณสินทรัพย์สำรองเท่ากับจำนวนเหรียญที่อยู่ใน Circulation จริง และมีแนวโน้มส่งผลให้เกิดความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ Bank Runขึ้นกับ USDT
แม้ในช่วงหลัง Tether จะพยายามปรับปรุงในประเด็นด้านความโปร่งใส โดยให้ข้อมูลในส่วนของสินทรัพย์สำรอง และการตรวจสอบบัญชีเป็นประจำมากขึ้น แต่องค์กรกำกับดูแลในยุโรปภายใต้ MiCA ยังคงวางเงื่อนไขว่าสินทรัพย์สำรองจำเป็นต้องมีสภาพคล่องสูงและตรวจสอบได้เสมอ รวมถึงต้องใช้หน่วยงานตรวจสอบที่ได้รับการรับรองในสหภาพยุโรป ซึ่ง Tether ยังไม่ตอบโจทย์ดังกล่าว ทำให้ USDT ไม่ผ่านเกณฑ์ของ MiCA และต้องถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎนี้ในกลุ่มประเทศยุโรป
เมื่อ Tether ถูกจำกัดโอกาสในยุโรป เหรียญ Stablecoin อื่นๆ ที่ดำเนินการสอดคล้องกับกฎระเบียบกลับมีโอกาสเพิ่มขึ้นทันที
ไม่ว่าจะเป็น USDC จาก Circle ที่มีระบบตรวจสอบที่โปร่งใส สินทรัพย์สำรองมีการฝากไว้กับธนาคารที่ได้รับอนุญาตในสหรัฐฯ และมีแผนขยายสู่ยุโรปภายใต้ MiCA PYUSD ของ PayPal ซึ่งออกโดย Paxos Trust Company สถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาตภายใต้ New York Department of Financial Services (NYDFS) และเป็นหนึ่งในหน่วยงานกำกับที่เข้มงวดที่สุดในสหรัฐฯ เหรียญสกุลเงินยูโร เช่น EUROC และ Monerium ได้รับการรับรองโดยหน่วยงานที่อยู่ภายใต้กฎ MiCA โดยตรงจึงไม่น่าแปลกใจที่ Stablecoin ที่ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกับกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดจะได้รับความสนใจมากขึ้นจากทั้งฝั่งนักลงทุนสถาบันและผู้ให้บริการในยุโรป
อย่างไรก็ตาม แม้ USDT จะไม่ผ่านกฎ MiCA ในยุโรป แต่ก็ยังคงครองตำแหน่ง “King of Stablecoin” ได้ในตลาดโลกในปัจจุบัน เนื่องจากขนาด Market Cap ที่สูงแตะ $1.55 แสนล้าน โดยมีปริมาณการซื้อขายรายวันสูงที่สุดในบรรดา Stablecoin ทั้งหมด รวมถึงมีการใช้งานเป็นคู่ซื้อขายหลักในเกือบทุกกระดานเทรดทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา ซึ่งในบางประเทศมีการใช้ USDT แทนเงินดอลลาร์ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
USDT ยังรองรับหลากหลาย Network ไม่ว่าจะเป็น Ethereum (ERC-20), Tron (TRC-20), BNB Chain, Solana, Polygon รวมถึง chain อื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้เครือข่ายตามฟังก์ชันที่ตามปัจจัยตอบโจทย์ เช่น ค่าธรรมเนียมที่ต่ำหรือระบบความเร็วที่สูงได้ตามต้องการ และสุดท้าย USDT เองก็ยังครอบคลุมตลาดโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคที่ต้องการทางเลือกนอกระบบการเงินแบบ Traditional Finance ด้วยเหตุนี้ USDT จึงยังสามารถครองความนิยมในตลาดนอกยุโรปได้อย่างแข็งแกร่ง
หากมองในระยะถัดไป เราอาจได้เห็นตลาด Stablecoin ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม :
1. กลุ่มที่เน้นการกำกับดูแล หรือ Compliance (USDC, PYUSD, EUR-backed tokens) สำหรับเขตเศรษฐกิจที่มีกฎระเบียบเข้มงวด
2. กลุ่มที่เน้น Accessibility และ Global Liquidity (USDT) สำหรับตลาด Emerging Market หรือเขตเศรษฐกิจที่กฎระเบียบยังไม่เข้มงวด
ข้อเสียคือสภาพคล่องใน DeFi อาจแตกแยกเป็นหลายส่วน การใช้งานข้ามแพลตฟอร์มอาจมีความยุ่งยากมากขึ้น และผู้ใช้อาจจะต้องถือ Stablecoin หลายประเภทเพื่อให้เหมาะแก่การใช้งานในแต่ละแพลตฟอร์ม
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ Stablecoin ในอนาคตจะไม่วัดกันแค่จำนวนผู้ใช้หรือมูลค่าตลาด แต่จะวัดกันที่ระดับ “ความน่าไว้วางใจ” ที่เหรียญสามารถมอบให้กับผู้ใช้งานและหน่วยงานกำกับดูแล สิ่งนี้จะกลายเป็นคุณสมบัติหลักของ Stablecoin ที่ยั่งยืน โดยเหรียญที่ปฏิบัติตามกฎอย่างเข้มงวด แม้จะมีอัตราการเติบโตอาจจะช้ากว่าในระยะแรก แต่ก็มีแนวโน้มที่จะดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลได้จากฝั่งสถาบันการเงินและนักลงทุนรายใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยได้มากกว่า
สำหรับ Tether แม้จะเสียตลาดในยุโรปไป แต่ยังคงมีจุดแข็งในด้านสภาพคล่องทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาด Emerging Market และในกลุ่มผู้ใช้นอกระบบธนาคาร หากในอนาคต Tether สามารถปรับปรุงระบบการตรวจสอบบัญชีและเข้าสู่กระบวนการกำกับดูแลได้อย่างเต็มรูปแบบ Tether ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับเข้าสู่ตลาดในยุโรปได้อย่างโปร่งใสอีกครั้ง
ในโลกของStablecoin ยุคหลัง MiCA “ความเชื่อมั่นคือสภาพคล่องรูปแบบใหม่-Trust is the new liquidity” เพราะสุดท้าย เหรียญที่อยู่รอดได้ ไม่ใช่เหรียญที่มีคนใช้งานมากที่สุด...แต่คือเหรียญที่คน “กล้าวางเงินไว้” โดยปราศจากความลังเล
ข้อมูลอ้างอิง : https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/TA-9-2023-0104_EN.html
https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/?uri=CELEX%3A52020PC0593
https://www.eba.europa.eu/eba-publishes-its-first-set-final-technical-standards-under-mica
https://www.coindesk.com/learn/what-is-mica-the-eus-sweeping-crypto-regulation/
https://defillama.com/stablecoins
https://glassnode.com/
https://cointelegraph.com/explained/why-tether-refuses-to-comply-with-mica?utm_source=chatgpt.com







