เก็บภาษีหุ้น-คริปโท ดีกับเศรษฐกิจไทยจริงหรือ?

เก็บภาษีหุ้น-คริปโท ดีกับเศรษฐกิจไทยจริงหรือ?

การประกาศเก็บ “ภาษีหุ้น” และ “ภาษีคริปโท” ของภาครัฐครั้งล่าสุด สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน สถาบัน และองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างมาก

โดย “ภาษีหุ้น” นั้นเก็บจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Transaction Tax) 0.1% ซึ่งได้รับการยกเว้นมา 31 ปี จนเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาคจากปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่อง และเป็นผู้นำด้านการระดมทุนจาก IPO ได้สูงสุดติดต่อกันถึง 3 ปีซ้อนแล้ว

ซึ่งวันนี้ตลาดหุ้นไทยทำหน้าที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยด้วยมูลค่าตลาดกว่า 20 ล้านล้านบาท หากมีการจัดเก็บภาษีดังกล่าวขึ้น มีการคาดการณ์ว่าจะทำให้ปริมาณการซื้อขายโดยรวมลดลงกว่า 30% ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น

นักลงทุน – มีต้นทุนสูงขึ้น จนมีความสนใจในการลงทุนในหุ้นไทยน้อยลง

บริษัทหลักทรัพย์ – มีรายได้จากค่าธรรมเนียมนายหน้า ค่าที่ปรึกษาการเงิน การออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินสืบเนื่อง ฯลฯ ลดลง

ตลาดทุนไทย – สภาพคล่องในตลาด, Index Ranking, ความสามารถในการแข่งขันระดับสากล ลดลง

ตลาดหลักทรัพย์และบริษัทในเครือ – มีรายได้ลดลง ซึ่งจะกระทบต่อการพัฒนาโครงสร้างต่าง ๆ ของตลาดทุนไทย

บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ – กว่า 777 บริษัทจะมีเครื่องมือและกลไกเพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทจนไปถึงการสร้างงาน ที่ด้อยประสิทธิภาพลง

ปริมาณการซื้อขายที่อาจลดลงถึง 1 ใน 3 นี้ นอกจากจะส่งผลถึงเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าวแล้ว ในด้านของการจัดเก็บภาษี ก็จะทำให้การจัดเก็บทั้ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ลดลงมหาศาล เพราะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มีสถิติจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลมากกว่าก่อนเข้าตลาด โดยมีปริมาณถึง 30% ของภาษีนิติบุคคลที่รัฐจัดเก็บได้

ซึ่งภาษีนิติบุคคลถือเป็นรายได้ที่มีความสำคัญเป็นลำดับที่ 2 รองจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ตัวเลขภาษีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดควรต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจจะบังคับใช้ Transaction Tax นี้ เพราะหากตัดสินใจผิดพลาดแล้วจะเป็นการทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว อย่างที่ย้อนกลับมาแก้ไขได้ยาก

ในขณะที่ “ภาษีคริปโต” นั้นเก็บจากธุรกรรมที่ลงทุนแล้วได้กำไร โดยไม่สามารถนำธุรกรรมที่ขาดทุนมาหักลบได้ ทั้งนี้นักลงทุนยังต้องโดนสองต่อ ทั้งต้องหัก ณ ที่จ่าย 15% และสิ้นปีต้องคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้าอีกด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้กลายเป็นอีกหนึ่งในกฎหมายจำนวนมากของไทยที่ออกมาแล้วไม่เป็นธรรม ปฏิบัติตามไม่ได้ สุดท้ายส่งผลเสียต่อการประกอบธุรกิจ ประกอบอาชีพของประชาชน และเศรษฐกิจในที่สุด

วันนี้คนไทยส่วนใหญ่มีเงินไม่พอใช้หลังวัยเกษียณ หลักสูตรวางแผนการเงินการลงทุนแบบปฏิบัติได้จริงไม่เคยอยู่ในการศึกษาพื้นฐานของประเทศ ทั้งที่ความรู้ด้านนี้มีความสำคัญต่อทุกคน โดยเฉพาะคนตัวเล็กที่ต้นทุนน้อย มีโอกาสลองผิดลองถูกในชีวิตน้อยกว่าคนรวย

ตลาดทุนไทยใช้เวลาเดินทาง 46 ปี มีนักลงทุน 2 ล้านคน คิดเป็น 3% ของประชากรไทย ในขณะที่การเกิดของคริปโตสร้างนักลงทุนแตะ 2 ล้านคนภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีหลังมีกฎหมายรองรับในประเทศ แสดงให้เห็นถึงความเป็นสินทรัพย์หรือการลงทุนที่ตอบโจทย์ในยุคนี้และควรใช้ให้เป็นโอกาสในด้านต่าง ๆ

ซึ่ง ตลท.เองก็เห็นความสำคัญโดยเตรียมเปิดตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล (แม้ยังมีแผนรองรับเพียงดิจิทัลโทเคน) เป็นความเคลื่อนไหวที่แสดงว่าทั้งสองตลาดกำลังปรับตัวเข้าหากัน ดังนั้นหากตลาดคริปโตโลกมีพัฒนาการมากขึ้นและเราดึงดูด Stakeholder ที่เกี่ยวข้องให้มาอยู่ในประเทศไทยได้ ตลาดนี้ย่อมมีพัฒนาการและสร้างมูลค่าที่สุดท้ายอาจกลับมาเป็นภาษีที่สามารถจัดเก็บได้ไม่น้อยไปกว่าตลาดหุ้น

คริปโตถือเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชั่นสำคัญที่ส่งผลถึงการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีกระจายศูนย์ (Decentralized Technology) ซึ่งจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้ไม่เพียงแก่โลกการเงิน-การลงทุน แต่รวมไปถึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ  ในประเทศไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี การศึกษา สาธารณสุข การท่องเที่ยว การส่งออก ฯลฯ โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังเข้าสู่ยุค Metaverse และ Web 3.0

วันนี้เศรษฐกิจไทยถือว่าอยู่ในสภาวะวิกฤติทั้ง GDP ประเทศตกต่ำสุดในอาเซียน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชากรในประเทศสูงติดอันดับโลก ไปจนถึงสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงจนอาจต้องขยายเพดานกันอีกหลายรอบ เป็นตัวชี้วัดว่านโยบายเศรษฐกิจของประเทศเราดำเนินมาผิดทาง?

ถ้าเราตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นผู้นำศูนย์กลางตลาดทุน ตลาดคริปโตของภูมิภาค ซึ่งศักยภาพของประเทศจากผลวิจัยของหลายสถาบันชี้ตรงกันว่าทำได้! ภาครัฐต้องศึกษานโยบายภาษีและนโยบายสนับสนุนต่าง ๆ  อย่างละเอียดจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็น “Role Model” ให้ไทยเราได้ นักลงทุนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ไม่ต้องเสียภาษีเลย ในขณะที่ทางตลาดคริปโต สิงคโปร์เองก็วางกลยุทธ์ไว้ชัดเจน โดยการลงทุนระยะยาวในคริปโตนั้นไม่มีทั้งภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล ใช้คริปโตซื้อสินค้าก็ไม่มี VAT หรือ GST แถมมีมาตรการดึงดูดบริษัทคริปโตทั่วโลกให้มาตั้งสำนักงานในประเทศ

เวลาบริหารธุรกิจต้องดูแบบอย่างจากบริษัทที่เป็นคู่แข่งโดยตรง เวลาบริหารประเทศในด้านใด ก็ต้องดูแบบอย่างจากประเทศที่ควรจะเอาเป็นตัวอย่างในด้านนั้นเช่นกัน

อย่าลืมว่าเครื่องมือทางภาษีของรัฐมิได้มีเพียงการจัดเก็บเท่านั้น แต่การลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนให้มีมูลค่าเกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจระดับมหภาค และบริบทของยุคที่การลงทุนไร้พรมแดนนี้ครับ