จับจังหวะกองทุนหุ้น 1,590 จุด   

จับจังหวะกองทุนหุ้น 1,590 จุด      

เดือนพ.ย.ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนค่อนข้างนิ่งๆ ไม่มีอะไรน่ากังวลมากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการไว้ก่อนหน้า แล้ว โดยโทนออกไปทางอารมณ์ดี เพราะมีแต่ข่าวการเปิดเมือง การคลายข้อบังคับต่างๆ

แต่ก็มี กระแสข่าวความกังวลที่อาจจะมีการปิดเมืองอยู่บ้าง ในกลุ่มประเทศ ยุโรป โดยเฉพาะ ออสเตรีย เยอรมัน และ อังกฤษ จนในช่วงท้ายของสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ตลาดการเงินทั่วโลกก็ช็อคกันไปหมดและต่างก็ถูกแรงขายออกมาอย่างถล่มทลายจากเรื่องของไวรัสโควิด-19สายพันธุ์ใหม่ ‘โอไมครอน’ ที่ตรวจพบครั้งแรกในทวีปแอฟริกา ซึ่งเริ่มสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่อประสิทธิผลของวัคซีนตัวเดิม รวมถึงมาตรการจำกัดการเดินทางข้ามชายแดนหรือการเดินทางข้ามประเทศที่เริ่มกลับมาให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง

ปัจจัยอื่นๆในเดือนที่ผ่านมา เริ่มจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เตรียมปรับเกณฑ์สภาพคล่องในการจัดทำดัชนี SET50/SET100 โดยคำนึงถึงหุ้นที่เคยเข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่เช่น DELTA ถูกถอดออกจากดัชนี SET50/SET100 รอบถัดไปโดยทันที ต่อด้วยความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่ คาดการณ์ว่าในช่วงถัดไป ตลาดแรงงาน การบริโภค และภาคการท่องเที่ยวที่จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตามด้วยรายงาน ตัวเลข GDP ของไทยไตรมาส 3 ที่หดตัว 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และหดตัว 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ สุดท้าย ก็เป็นเรื่องของ สถานการณ์โรคโควิด-19 ในยุโรปที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนนำมาสู่มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวดอีกครั้งในบางประเทศ

สำหรับธ.ค.นี้ ผมให้น้ำหนักปัจจัยหลักน่าจะไปอยู่ที่ การประชุม FOMC ในวันที่ 14-15 ธ.ค. ซึ่งหลังจากที่ก่อนหน้านี้ นักลงทุนเริ่มคาดว่า Fed อาจจะเริ่มมีการเข้มงวดนโยบายการเงินมากขึ้น อาทิเช่น การประกาศเพิ่มอัตราเร่งโครงการ QE Tapering เป็นเดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่หลังจากที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ออกมานี้

จึงมีความเป็นไปได้ที่ Fed อาจชะลอแผนดังกล่าวไว้ก่อน และอาจจะเปลี่ยนเป็นการส่งสัญญาณที่จะดำเนินนโยบายการรเงินแบบคลายตัวลงยิ่งขึ้น ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อลดคาดการณ์ของนักลงทุนบางส่วนที่มองว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ช่วงกลางปีหน้าเป็นอย่างเร็ว หากเกิดขึ้นจริง เชื่อว่าจะทำให้ Fed Funds futures ในตลาดย่อลงมาได้ ส่งผลให้ Bond yield ระยะสั้นและเงิน USD ย่อตัวลง และเป็นปัจจัยผ่อนคลายด้าน Sentiment ต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้นได้

เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากเดือนที่แล้ว คือ พัฒนาการของไวรัสสายพันธุ์ ‘โอไมครอน’ ทั้งความสามารถในการแพร่กระจายและผลกระทบทางด้านอัตราความสูญเสีย และที่สำคัญที่สุด ประสิทธิผลของวัคซีนเดิมที่มีต่อการต่อต้านไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะค่อยๆ ทยอยออกมา ซึ่งก็น่าจะสร้างความกังวลกันไปแบบ ยาวๆ และจะยิ่งทำให้สถานการณ์ ในยุโรป จะทวีความรุนแรง ยิ่งขึ้น ก็เป็นได้ อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ ความเป็นไปได้ในการตรวจพบและการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ในไทย ซึ่งถ้าหากมีขึ้นจริง 

ประเมินได้เลยว่าน่าจะมีโอกาสเกิด แรงขายแบบตกใจในตลาดหุ้นไทยและทำให้ ดัชนี SET ปรับฐานลงไปลึกขึ้น ด้านประเทศจีน ก็จะมีการรายงานตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนประจำเดือนพ.ย. ซึ่งจะต้องดูว่าปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันหรือไม่ สุดท้าย ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ใครๆ อยากทราบคือ แรงซื้อของกองทุนลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปี จากที่ประเมินดูคร่าวๆ ก็ไม่น่าจะมีผลต่อดัชนี SET มากนัก เนื่องจากกองทุน SSF/RMF ไม่ได้บังคับลงในหุ้นไทย นอกจากนั้น นักลงทุนสถาบันอาจเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับการไถ่ถอนกองทุน LTF ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งก็น่าจะเป็นจำนวนหลายพันล้านบาท

        อย่างไรก็ดีผมยังแนะนำให้เข้าลงทุนกองหุ้นที่ลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะกองหุ้นไทย เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและผลตอบแทนพันธบัตธรัฐบาลยังอยู่ในระดับต่ำมาก และการปรับฐานของดัชนี SET ในรอบนี้ ถือเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน และผู้ที่อยากจับจังหวะการเข้าลงทุนในกองทุนหุ้น ผมมองว่า ดัชนี SET บริเวณ 1,590 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้และสนใจลงทุนในกองหุ้นไทย ผมแนะนำกลุ่มDomestic Consumption หรือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ เพราะถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความยืดหยุ่นดีในสภาวะตลาดปัจจุบันนี้ ครับ